รับซื้อรถมือสอง อุบล

รับซื้อรถมือสอง อุบล รถกะบะ รถหกล้อ รถบรรทุก รถเก๋ง ให้ราคาดีกว่าเต๊น

รับซื้อรถมือสอง อุบล รถกะบะ รถหกล้อ รถบรรทุก รถเก๋ง ให้ราคาดีกว่าเต๊น รถบ้านรถเดิมๆให้ราคาสูงที่สุด

เรารับซื้อ รถมือสอง อุบลราชธานี ไปดูรถถึงบ้าน ตกลงกันได้ จ่ายเงินทันที ไม่คุยนาน รถบ้านยิ่งดี

แอดไลน์ @webuy ( มีตัว @ ด้วย ) หรือโทร 064-2579353 คุณโน๊ต

รับซื้อรถมือสองอุบล , รับซื้อรถเก๋งมือสอง ,รับซื้อรถกะบะ อุบล ,รับซื้อรถบ้าน ,รับซื้อรถบรรทุก อุบล ,รับซื้อรถหกล้อ อุบล ,รับซื้อรถกะบะ 4 ประตู ,รับซื้อรถฟอจูนเนอร์ ,รับซื้อรถไถนา ,รับซื้อรถเกี่ยวข้าว ,รับซื้อรถมือสอง ในจังหวัด อุบลราชธานี ให้ราคาสูงที่สุด

รับซื้อรถมือสอง อุบล

แอดไลน์ @webuy ( มีตัว @ ด้วย ) หรือโทร 064-2579353 คุณโน๊ต

รับซื้ออุบล

 

รับซื้อรถยนต์อุบล การตรวจสอบรถยนต์ก่อนซื้อ

การตรวจสอบรถยนต์มือสองเป็นขั้นตอนสำคัญเพื่อให้คุณมั่นใจว่าคุณกำลังซื้อรถที่มีคุณภาพและปลอดภัย ดังนั้นนี่คือขั้นตอนที่คุณสามารถทำเพื่อตรวจสอบรถยนต์มือสอง:

  1. ตรวจสอบเอกสาร:
    • ใบจดทะเบียนรถยนต์: ตรวจสอบใบจดทะเบียนเพื่อให้แน่ใจว่าข้อมูลของรถถูกต้องและตรงกับข้อมูลที่ผู้ขายระบุ.
    • ใบสมุดบำรุงรักษารถยนต์ (Owner’s Manual): ในกรณีที่มี, ตรวจสอบใบสมุดนี้เพื่อดูประวัติการบำรุงรักษารถและการบำรุงรักษาที่ถูกต้อง.
  2. ตรวจสอบประวัติรถ:
    • ใช้บริการรายงานประวัติรถ (Vehicle History Report): คุณสามารถซื้อรายงานประวัติรถจากบริษัทเช่น Carfax หรือ AutoCheck เพื่อตรวจสอบประวัติของรถ, เช่น การชนหรือน้ำท่วมที่เคยเกิดขึ้น.
    • ติดต่อผู้ขายเพื่อขอประวัติการบริการและการซ่อมแซม: ถามผู้ขายเกี่ยวกับประวัติการบำรุงรักษารถยนต์, การซ่อมแซม, และประวัติการขับขี่.
  3. ตรวจสอบภายนอกรถ:
    • ตรวจสอบสีและการเปรียบเทียบความสีรถทั้งหมด: หากมีความแตกต่างในสีหรือการพูดคุยถึงการทาสีใหม่, อาจมีปัญหาที่ไม่ได้ระบุ.
    • ตรวจสอบแบบจำลองและรุ่นรถ: ตรวจสอบว่ารายละเอียดที่ระบุในโฉมรถมีความเป็นจริง.
  4. ตรวจสอบภายในรถ:
    • ตรวจสอบที่นั่งและพื้นประตูเพื่อหาเครื่องระบุสภาพแตกหรือสภาพที่ไม่ปกติ.
    • ตรวจสอบระบบเครื่องควบคุมอุณหภูมิ, เครื่องเสียง, และอุปกรณ์อื่น ๆ เพื่อให้แน่ใจว่าทำงานอย่างถูกต้อง.
  5. ทดสอบขับรถ:
    • ขออนุญาตให้ขับรถ: ถ้าเป็นไปได้, ขออนุญาตให้ขับรถเพื่อทดสอบความสมบูรณ์ของรถ ระวังในขณะขับรถและสังเกตความรู้สึกขณะขับ.
    • ตรวจสอบระบบเบรกและลูกสูบ: ทดสอบเบรกและลูกสูบโดยการเบรกและรีบตัวรถ เช็คว่าไม่มีเสียงหรืออาการไม่ปกติ.
  6. ตรวจสอบเอกสารขาย:
    • ตรวจสอบใบเปรียบเทียบราคารถ (Blue Book) เพื่อค้นหาราคาที่ยุติธรรมของรถยนต์.
    • ตรวจสอบใบรับรองความปลอดภัย (Safety Inspection Certificate) หากมีกฎหมายในพื้นที่ของคุณ.
  7. การตรวจสอบราคา:
    • เปรียบเทียบราคารถยนต์มือสองที่คุณสนใจกับราคาในตลาดที่อ้างอิง.
    • อย่าลืมคิดภาษีและค่าบริการอื่น ๆ ที่อาจเกิดขึ้นเมื่อซื้อรถ.

การตรวจสอบรถยนต์มือสองอาจเสร็จในขั้นตอนนี้ หลังจากซื้อรถ, ควรทำการโอนกรรมสิทธิ์และขอใบจดทะเบียนใหม่ในชื่อของคุณตามกฎหมายในพื้นที่ของคุณ.

 

ซื้อรถมือสองอุบล

การความนิยมของรถยนต์ในปัจจุบันมีความหลากหลายขึ้นอย่างมากและขึ้นอยู่กับพื้นที่ทางภูมิศาสตร์, แนวโน้มทางเศรษฐกิจ, และความสนใจของผู้บริโภค ต่อไปนี้คือบางรุ่นที่นิยมและได้รับความสนใจในปัจจุบัน:

  1. รถยนต์ไฟฟ้า (Electric Vehicles – EVs): รถยนต์ไฟฟ้ากำลังเพิ่มความนิยมขึ้นอย่างต่อเนื่องเนื่องจากความต้องการในการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกที่สร้างผลกระทบต่อสภาพอากาศ และเพิ่มความระบาดของเทคโนโลยีแบตเตอรี่. รุ่นยอดนิยมรวมถึง Tesla Model 3, Nissan Leaf, Chevrolet Bolt EV, และ Audi e-tron.
  2. SUVs และรถกระบะ: รถยนต์ขนาดใหญ่เช่น SUVs และรถกระบะยังคงเป็นที่นิยมในหลายตลาด เช่น Toyota RAV4, Honda CR-V, Ford F-150, และ Chevrolet Silverado.
  3. รถยนต์ญี่ปุ่น: รถยนต์จากบริษัทญี่ปุ่นเช่น Toyota, Honda, และ Nissan ยังคงได้รับความนิยมอย่างต่อเนื่องเนื่องจากความเชื่อถือในคุณภาพและประสิทธิภาพของรถ.
  4. รถยนต์ไฮบริด (Hybrid Cars): รถยนต์ไฮบริดที่รวมระบบเครื่องยนต์ในการเผาไหม้และระบบไฮบริดได้รับความสนใจเนื่องจากการออกแบบให้มีประสิทธิภาพในการใช้เชื้อเพลิงและลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก รุ่นยอดนิยมรวมถึง Toyota Prius, Honda Insight, และ Ford Escape Hybrid.
  5. รถยนต์ระหว่างขนาด (Compact Cars): รถยนต์ขนาดเล็กและระหว่างขนาดยังคงมีความนิยมในการใช้งานในเมือง รุ่นยอดนิยมรวมถึง Honda Civic, Toyota Corolla, Volkswagen Golf, และ Mazda3.
  6. รถยนต์บริการการขนส่ง (Ridesharing Vehicles): ในบางที่, คนมักใช้บริการรถแชร์แทนการเลือกที่จะเสียเงินในการเครื่องยนต์ส่วนตัว รถยนต์ที่ใช้ในบริการนี้อาจเป็นรุ่นยอดนิยม.
  7. รถยนต์สปอร์ตและรถยนต์ระดับพรีเมียม: บางคนยังคงมีความสนใจในรถยนต์สปอร์ตและรถยนต์ระดับพรีเมียมที่มีประสิทธิภาพสูง เช่น Porsche 911, BMW 3 Series, Mercedes-Benz E-Class, และ Audi A4.
  8. รถยนต์แอ็ปทิก (Adventure Vehicles): รถยนต์แอ็ปทิกหรือรถยนต์ที่เหมาะสำหรับการเดินทางผจญภัยกำลังเพิ่มขึ้น เช่น Subaru Outback, Jeep Wrangler, Toyota 4Runner, และ Ford Bronco.

การความนิยมของรถยนต์อาจแตกต่างไปตามพื้นที่และความต้องการของตลาด ดังนั้น, การเลือกรถยนต์ควรพิจารณาความต้องการและบัญชีทางการเงินของคุณอย่างละเอียดก่อนตัดสินใจซื้อรถใหม่หรือรถมือสอง.

 

อยากขายรถมือสองอุบล ติดต่อที่ไหน

แอดไลน์ @webuy ( มีตัว @ ด้วย ) หรือโทรด่วน 064-2579353

ประวัติ จังหวัด อุบล ราชธานี

อุบล" ประวัติศาสตร์ อุบลราชธานี เต็มเรื่อง - YouTube

อุบลราชธานี มักเรียกโดยทั่วไปสั้นๆ ว่า อุบลฯ อักษรย่อ อบ เป็นจังหวัดขนาดใหญ่ในภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนล่าง มีพื้นที่ขนาดใหญ่เป็นลำดับที่ 2 ในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ และอันดับที่ 5 ของประเทศไทย และมีประชากรมากเป็นอันดับ 3 ของประเทศ[4] นับเป็นจังหวัดที่มีประวัติศาสตร์ยาวนาน มีหลักฐานทั้งประวัติศาสตร์และโบราณคดีที่เก่าแก่ อาทิ ภาพเขียนสีที่อุทยานแห่งชาติผาแต้ม[5] และยังมีแหล่งท่องเที่ยวที่สำคัญหลายแห่ง ประเพณีที่ขึ้นชื่อของจังหวัดนี้คือแห่เทียนพรรษา มีอาณาเขตติดต่อกับจังหวัดอำนาจเจริญ จังหวัดยโสธร จังหวัดศรีสะเกษ ประเทศลาว และประเทศกัมพูชา

จังหวัดอุบลราชธานีตั้งอยู่ในบริเวณแอ่งโคราช โดยมีลักษณะภูมิประเทศที่หลากหลายทั้งภูมิประเทศแบบที่ราบสูง ภูมิประเทศแบบภูเขาสลับซับซ้อนในชายแดนตอนใต้โดยเฉพาะบริเวณอำเภอน้ำยืนและนาจะหลวย โดยมีเทือกเขาที่สำคัญคือทิวเขาบรรทัดและทิวเขาพนมดงรัก มีแม่น้ำโขงกั้นระหว่างตัวจังหวัดและประเทศลาว และมีแม่น้ำสำคัญ ๆ ได้แก่ แม่น้ำมูลและแม่น้ำชี นอกจากนี้ยังมีลำน้ำที่สำคัญ ๆ หลายสาย มีลำเซบาย ลำเซบก ลำโดมใหญ่ และลำโดมน้อยเป็นอาทิ

ประชากรส่วนใหญ่นับถือศาสนาพุทธ ส่วนมากนิยมประกอบอาชีพเกษตรกรรมเป็นหลักโดยมีการทำนาข้าวและเพาะปลูกพืชไร่ชนิดต่าง ๆ เช่น ปอแก้ว มันสำปะหลัง ถั่วลิสง มีการเลี้ยงปศุสัตว์ และทำการประมงอยู่เล็กน้อย และยังมีอาชีพอื่น ๆ ที่สำคัญด้วย อาทิ อุตสาหกรรมและการค้าการบริการ จังหวัดอุบลราชธานีได้รับขนานนามว่า” เมืองนักปราชญ์ เมืองศิลปินแห่งชาติ”

สมัยอยุธยาและธนบุรี

พระเจ้าล้านช้างเวียงจันทน์ นามว่า พระเจ้าไชยเชษฐาธิราชที่ 2 หรือพระเจ้าไชยองค์เว้ ทรงครองราชย์ โปรดแต่งตั้งให้ท้าวนองขุนนางสามัญชนเชื้อสายไทพวน เป็นเจ้าอุปราชนครเวียงจันทน์ และโปรดให้เจ้าอุปราชนองนำไพร่พลไปตั้งเมืองที่หนองบัวลุ่มภู (ปัจจุบันเป็นจังหวัดหนองบัวลำภู) โดยตั้งชื่อเมืองว่า “นครเขื่อนขันธ์กาบแก้วบัวบาน”

เพื่อสร้างความเข้มแข็งและสร้างป้อมปราการกันชนให้แก่อาณาจักร์ที่พึ่งถูกสถาปนาขึ้นมาใหม่ กษัตริย์ล้านช้างเวียงจันทน์หรือพระเจ้าไชยองค์เว้ จึงโปรดเกล้าให้เจ้าอุปราชนองพระบิดาของพระวอพระตา[8]ไปสร้างเมืองหนองบัวลุ่มภูขึ้นเป็นเมืองหน้าด่านยันกับอาณาจักรอยุธยาและอาณาจักรล้านช้างหลวงพระบางที่พึ่งแยกตัวออกจากเวียงจันทน์ไปตั้งอาณาจักรขึ้นใหม่ สาเหตุที่สำคัญของการล่มสลายของอาณาจักรล้านช้าง เนื่องมาจากการเข้าแทรกแซงหรือได้รับการไกล่เกลี่ยจากพระเพทราชากษัตริย์อาณาจักรอยุธยา ซึ่งได้เสนอให้แยกอาณาจักรออกจากกันเพื่อลดปัญหาของความขัดแย้งที่รุนแรง ซึ่งฝ่ายนครหลวงเวียงจันทน์ก็ได้กลายเป็นคู่อริกันกับฝ่ายนครหลวงพระบางต่อมายาวนานอีกกว่าร้อยปี ด้วยสาเหตุดังกล่าวจึงเป็นที่มาของการตั้งเมืองนครเขื่อนขันธ์กาบแก้วบัวบาน (หนองบัวลำภู) ขึ้นเพื่อให้เป็นเมืองหน้าด่านใช้ยันกับอาณาจักรหลวงพระบางคู่อริตลอดกาลเป็นสำคัญ ภายหลังจากพระเจ้าไชยองค์เว้ทรงสถาปนาอาณาจักรใหม่ นามว่า อาณาจักรล้านช้างเวียงจันทน์ ซึ่งเป็นช่วงระยะเวลาหลังจากอาณาจักรล้านช้างได้ล่มสลายไปแล้ว และถูกแยกเป็น 2 อาณาจักร ประมาณในราว พ.ศ. 2250 และต่อมาในราว พ.ศ. 2256 เขตแดนอาณาจักรล้านช้างเวียงจันทน์ก็ได้ถูกแยกเป็นอีกหนึ่งอาณาจักร คือ อาณาจักรล้านช้างจำปาศักดิ์

ต่อมา พ.ศ. 2283 เจ้าอุปราชนองได้นำกองกำลังชาวเวียดนามเข้ายึดอำนาจจากเจ้าองค์ลอง พระราชโอรสของเจ้าไชยองเว้ เหตุผลที่เจ้าอุปราชนองมีกำลังพลจากทางเวียดนามเป็นจำนวนมากและมีความเกี่ยวข้องกับทางเวียดนาม สืบเนื่องมาจากตั้งแต่สมัยพระเจ้าสุริยวงศาธรรมมิกราชขึ้นครองราชย์ พระองค์ได้พยายามกำจัดพระญาติทางฝ่ายพระราชบิดาจนแทบสิ้น หนึ่งในนั้นคือเจ้าชมพู พระเชษฐาต่างพระมารดา เจ้าชมพูถูกเนรเทศ (หลบหนี) ไปพึ่งเวียดนาม โดยมีแสนทิพย์นาบัว สืบเชื้อสายไทพวนทางฝั่งบิดาหรือไทดำทางฝั่งมารดา ติดตามพระองค์ไปด้วย เจ้าชมพูให้กำเนิดโอรสกับหญิงชาวเมืองเว้ เชื้อสายเวียดนาม นามว่าพระไชยองค์เว้ ภายหลังเจ้าชมพูสิ้นพระชนม์ แสนทิพย์นาบัวจึงได้พระมารดาของพระเจ้าไชยองค์เว้ กษัตริย์ล้านช้างเวียงจันทน์ องค์ที่ 1 เป็นภรรยาให้กำเนิดบุตรนามว่า “ท้าวนอง” ซึ่งต่อมาก็คือ เจ้าอุปราชนอง ดังนั้น เจ้าอุปราชนอง จึงเป็นพี่น้องร่วมมารดาแต่ต่างบิดากับพระเจ้าไชยองค์เว้ และล้วนมีเชื้อสายเวียดนาม(เมืองเว้) ทางฝั่งมารดาทั้งคู่ ภายหลังพระเจ้าเจ้าสุริยะวงศาธรรมิกราชสวรรคต พระไชยองค์เว้พร้อมด้วยท้าวนองนำกำลังจากเวียดนามเข้ายึดนครเวียงจันทน์ได้ พระไชยองค์เว้ขึ้นครองราชย์พระนามว่าพระเจ้าไชยเชษฐาธิราชที่ ๒ ตั้งท้าวนองเป็นเจ้าอุปราชนอง พระไชยองค์เว้มีราชโอรสนามว่า ท้าวองค์ลอง ภายหลังได้ขึ้นครองราชย์ต่อจากพระไชยองค์เว้ในราวปี พ.ศ. ๒๒๗๓ มีพระนามในใบจุ้มเลขที่ ๒ และเลขที่ ๗ ที่เก็บรักษาไว้ในหอสมุดแห่งชาติ กรุงเทพฯ ว่าพระมหาธรรมิกราชจักรพรรดิภูมินทราธิราชเจ้า ตราจุ้มของท้าวองค์ลองนี้เป็นตราคล้ายกับมังกรอยู่ตรงกลาง และมีแฉกออกคล้ายกับตราธรรมจักร

ภายหลังเจ้าอุปราชนองยึดอำนาจจากเจ้าองค์ลอง ในราว พ.ศ. ๒๒๘๓ ขึ้นครองเมืองมีพระนามตามใบจุ้มเลขที่ ๑ ว่าพระโพสาทธรรมิกราชาไชยจักรพรรดิภูมินทราธิราชเจ้า ใช้ตราจุ้มเป็นรูปนกยูง เหตุที่ใช้ตราจุ้มเป็นรูปนกยูงนั้นก็เพราะว่าบิดาของท้าวนองมีเชื้อสายพวน ซึ่งให้การช่วยเหลือเจ้าชมพูในการหลบหนีไปพึ่งเวียดนาม เมื่อครองราชย์ท้าวนองจึงใช้ตรานกยูงซึ่งเป็นสัตว์ที่กลุ่มคนพวนให้การนับถือ และยังใช้เป็นตราจุ้มของอาณาจักรพวน

จากหลักฐานจุ้มหรือตราราชลัญจกรของเจ้าอุปราชนองหรือท้าวนอง มีพระนามในใบจุ้มเลขที่ ๑ ว่า พระโพสาทธรรมิกราชาไชยจักรพรรดิภูมินทราธิราชเจ้า ใช้ตราจุ้มเป็นรูปนกยูง เหตุเพราะบิดาของท้าวนองคือแสนทิพย์ ซึ่งมีเชื้อสายพวนหรือไทดำ / ท้ายหนังสือใบจุ้มเลขที่ ๑ ระบุว่า “ศักราช ๑๐๔ ตัว เดือนยี่ ขึ้น ๕ ค่ำ วัน ๒ ฤกษ์ ๒๔ ลูก / ศักราช ๑๐๔ ดังกล่าวคือจุลศักราช ๑๑๐๔ หรือพ.ศ. ๒๒๘๕

ภายหลังจากที่สามารถยึดครองนครหลวงเวียงจันทน์ได้เป็นผลสำเร็จ หลังจากนั้นอุปราชนองจึงได้ปกครองนครเวียงจันทน์ มีพระนามว่า พระโพสาทธรรมิกราชาไชยจักรพรรดิภูมินทราธิราช ดังที่หลักฐานใบจุ่มได้ระบุไว้ แต่ในทางปฏิบัติท่านได้รับการยอมรับเป็นแต่เพียงเจ้าอุปราชครองเมืองเท่านั้น ไม่อาจได้รับการยอมรับหรือรับรองจากขุนนางให้ขึ้นเป็นกษัตริย์อย่างเป็นทางการแต่อย่างใดเนื่องจากเจ้านองไม่มีเชื้อสายทางกษัตริย์ล้านช้างแต่เป็นเพียงเชื้อสายสามัญชนที่เข้ามายึดอำนาจจากเชื้อสายเจ้านายเท่านั้น ภายหลังได้ครองนครเวียงจันทน์จึงมอบให้พระตาบุตรชายไปปกครองนครเขื่อนขันธ์กาบแก้วบัวบานแทน ภายหลังบุตรชายทั้ง ๒ คือ พระวอและพระตาร่วมมือกับเจ้าศิริบุญสาร พระราชโอรสของเจ้าลอง เข้ายึดอำนาจจากเจ้าอุปราชนอง พระบิดาของพวกตน

ต่อมา พ.ศ. ๒๓๑๔ เกิดสงครามระหว่างเวียงจันทน์กับเมืองหนองบัวลุ่มภู โดยพระเจ้าสิริบุญสาร พระเจ้าแผ่นดินอาณาจักรล้านช้างเวียงจันทน์ เกิดความขัดแย้งกับพระตา พระวอ แม้ว่าพระตาพระวอจะได้เคยให้ความช่วยเหลือเจ้าสิริบุญสาร เมื่อครั้งเกิดการแย่งชิงราชบัลลังก์ในล้านช้างเวียงจันทน์ ด้วยการให้ที่พักพิงและหลบราชภัยในเมืองหนองบัวลุ่มภู(นครเขื่อนขันธ์กาบแก้วบัวบาน) นานกว่าสิบปี ทั้งยังช่วยยกทัพไปชิงบัลลังก์ล้านช้างเวียงจันทน์จากเจ้าอุปราชนองพระบิดาของพระวอพระตา ซึ่งเคยนำกองทัพเวียดนามเข้ายึดอำนาจจากเจ้าองค์ลองบิดาของเจ้าสิริบุญสาร มาให้แก่เจ้าสิริบุญสารจนได้นั่งเมืองเป็นพระเจ้าล้านช้างเวียงจันทน์ ซึ่งพระวอพระตามีส่วนร่วมในการปิตุฆาตบิดาของพวกตนหรือเป็นเหตุสนับสนุนให้พระเจ้าสิริบุญสารสำเร็จโทษบิดาของพวกตน ต่อมาเนื่องจากเจ้าสิริบุญสารต้องการมีอำนาจเหนือดินแดนที่แวดล้อมล้านช้างเวียงจันทน์ (ล้านช้างหลวงพระบาง-เมืองหนองบัวลุ่มภู) และทรงมีความระแวงและโกรธกริ้วเมืองหนองบัวลุ่มภูอย่างมาก ที่มีไพร่พลมาก และมีกำลังทัพที่เข้มแข็ง และพระตาพระวอได้กลับลำหันไปเป็นพันธมิตรกับพระเจ้าล้านช้างหลวงพระบางซึ่งเป็นคู่อริตลอดกาลของฝ่ายตน

แลล้านช้างหลวงพระบางและล้านช้างเวียงจันทน์ก็เป็นอริต่อกัน ด้วยความหวาดระแวงและการไร้ซึ่งจิตสำนึกต่อผู้มีพระคุณที่ได้ช่วยเหลือตนมาของเจ้าสิริบุญสาร พระองค์จึงต้องการมีอำนาจเหนือเมืองหนองบัวลุ่มภูแบบเบ็ดเสร็จเด็ดขาด โดยเจ้าสิริบุญสารได้ขอให้พระตาและพระวอไปช่วยรักษาการที่ด่านบ้านหินโงมและพระเจ้ากรุงเวียงจันทน์เกรงกลัวจะเสียอำนาจหรือกลัวถูกจะแย่งชิงอำนาจ เพราะเมืองหนองบัวลุ่มภูได้แข็งเมืองและมิยอมเป็นเมืองขึ้นแก่เวียงจันทน์อีกต่อไป แต่มีกำลังพลมากมาย และต่างต้องการตำแหน่งในราชสำนักที่สูงสุดรองจากตน จึงเกิดความไม่ไว้ใจและปฏิเสธที่จะยกตำแหน่งให้ เมื่อทราบเช่นนั้น เมื่อไม่ได้รับผลประโยชน์ พระตาและพระวอจึงยกทัพหนีกลับเมืองหนองบัวลุ่มภูและแข็งเมืองต่อนครหลวงเวียงจันทน์ ทำให้เจ้าสิริบุญสารใช้เรื่องนี้เป็นข้ออ้างยกกองทัพมาตีเมืองหนองบัวลุ่มภู พระตา พระวอ ยกกองทัพออกต่อสู้จนกองทัพเวียงจันทน์แตกพ่ายกลับไปหลายครั้ง

สงครามระหว่างเวียงจันทน์กับเมืองหนองบัวลุ่มภู ต่อสู้กินเวลายาวนานถึง ๓ ปี ไม่มีผลแพ้ชนะกัน พระเจ้าสิริบุญสารได้ส่งทูตไปขอกองทัพพม่าที่เมืองนครเชียงใหม่ ให้มาช่วยตีเมืองหนองบัวลุ่มภู โดยมีเงื่อนไขเวียงจันทน์จะช่วยพม่ารบกับอยุธยา กองทัพพม่าที่เมืองเชียงใหม่ จึงให้ม่องระแง คุมกองทัพมาช่วยเจ้าสิริบุญสารรบ เมื่อฝ่ายพระตาทราบข่าวศึก คะเนคงเหลือกำลังที่จะต้านศึกกองทัพใหญ่กว่าไว้ได้ จึงให้ท้าวคำโส ท้าวคำขุย ท้าวก่ำ ท้าวคำสิงห์ พาไพร่พล คนชรา เด็ก ผู้หญิง พร้อมพระสงฆ์ อพยพมุ่งหน้าไปทางทิศตะวันออกเฉียงใต้ เพื่อหาที่สร้างบ้านแปลงเมืองใหม่ไว้รอท่า หากแพ้สงครามจะได้อพยพติดตามมาอยู่ด้วย

โดยแรกได้มาตั้งเมืองที่บ้านสิงห์โคก บ้านสิงห์ท่า (ปัจจุบันคือจังหวัดยโสธร) และการสู้รบในครั้งสุดท้าย พระตาถึงแก่ความตายในสนามรบ พระวอผู้เป็นบุตรชายคนโต พร้อมด้วยพี่น้องคือ นางอุสา นางแพงแสน ท้าวคำผง ท้าวทิตพรหม และนางเหมือนตา ได้หลบหนีออกจากเมืองมารับเสบียงอาหารจากบ้านสิงห์โคก สิงห์ท่า แล้วผ่านลงไปตั้งเมืองที่ “ดอนมดแดง” พร้อมขอพึ่งพระเจ้าองค์หลวงไชยกุมาร แห่งนครจำปาศักดิ์ ฝ่ายเจ้าสิริบุญสารทราบข่าวการตั้งเมืองใหม่ขึ้นกับอาณาจักร์ล้านช้างจำปาศักดิ์ของกลุ่มพระวอ จึงให้อัคฮาดหำทอง และพญาสุโพ ยกกองทัพมาตีพระวอ พระวอสู้ไม่ได้ และเสียชีวิตในสนามรบ ท้าวคำผงผู้น้องจึงขึ้นเป็นหัวหน้ากลุ่ม พร้อมมีใบบอกลงไปที่เมืองนครราชสีมา และกรุงธนบุรี เพื่อขอพึ่งบารมีพระเจ้ากรุงธนบุรี ซึ่งให้เจ้าพระยาจักรี (ทองด้วง) และเจ้าพระยาสุรสีห์ (บุญมา) ยกกองทัพมาช่วยท้าวคำผง ด้านพญาสุโพรู้ข่าวศึกของเจ้ากรุงธนบุรี จึงสั่งถอยทัพกลับเวียงจันทน์ แต่เจ้าพระยาจักรีและเจ้าพระยาสุรสีห์ ได้เดินทัพติดตามทัพเวียงจันทน์ จนสามารถเข้ายึดเมืองได้สำเร็จ จึงได้อัญเชิญพระแก้วมรกต พร้อมคุมตัวเจ้าสิริบุญสารไปกรุงธนบุรี ส่วนบุตรของพระตาได้แก่ท้าวคำผงและท้าวฝ่ายหน้าที่ได้ติดตามพระวอไปอยู่ที่จำปาศักดิ์ เมื่อสมเด็จเจ้าพระยามหากษัตริย์ศึกยกทัพไปตีเมืองจำปาศักดิ์ ท้าวคำผงและท้าวฝ่ายหน้าได้เข้าร่วมรบกับฝ่ายสยาม ต่อมาเจ้าองค์หลวงฯ เเต่งตั้งให้ท้าวคำผงเป็นนายกองคุมไพร่พลอยู่ที่บ้านดู่บ้านแก ใน พ.ศ. ๒๓๒๒ สมเด็จพระเจ้าตากสินทรงแต่งตั้งท้าวคำผงให้เป็นพระปทุมสุรราชภักดี เป็นที่ นายกองคุมเลกเมืองจำปาศักดิ์ ขึ้นตรงต่อนครจำปาศักดิ์ ต่อมาท้าวคำผงจึงอพยพไพร่พลไปอยู่ที่ดอนห้วยแจระแม ตั้งเป็นบ้านห้วยเเจระเเม ขึ้นตรงต่อนครจำปาศักดิ์

สมัยรัตนโกสินทร์

ใน พ.ศ. ๒๓๓๔ เกิดขบถอ้ายเชียงแก้วเขาโอง ยกกำลังมาตีเมืองนครจำปาศักดิ์ ท้าวฝ่ายหน้า ผู้กำกับดูแลไพร่พลแห่งบ้านสิงห์ท่า (ขึ้นกับนครจำปาศักดิ์) ผู้น้อง กับพระปทุมสุรราช (คำผง) นายกองคุมเลกเมืองจำปาศักดิ์ ผู้พี่ ได้ยกกำลังไปรบ สามารถจับอ้ายเชียงแก้วได้ และทำการประหารชีวิตที่บริเวณแก่งตะนะ และในวันที่ ๑๖ กรกฎาคม พ.ศ. ๒๓๓๕ พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก ทรงพระมหากรุณาโปรดเกล้าฯ ให้สถาปนาบ้านห้วยเเจระเเมแยกดินเเดนออกจากนครจำปาศักดิ์ เเล้วจึงยกฐานะบ้านห้วยเเจระเเมขึ้นเป็นเมืองพระประเทศราช ขึ้นตรงต่อกรุงเทพ แต่งตั้งให้พระประทุมสุรราช (คำผง) เป็นพระประทุมวรราชสุริยวงศ์ (คำผง) ซึ่งนับเป็นเจ้าเมืองอุบลราชธานีศรีวนาลัยประเทศราชคนแรก อีกทั้งยังพระราชทานพระสุพรรณบัตร (เเผ่นทองคำ) และเครื่องยศพระประเทศราช พร้อมทำพิธีสบถสาบานถือน้ำพิพัฒน์สัตยา[9] ต่อมาใน พ.ศ. ๒๓๓๘ พระปทุมวรราชสุริยวงศ์ ถึงเเก่อนิจกรรม รัชกาลที่ 1 ทรงโปรดเกล้าพระราชทานสัญญาบัตร เเต่งตั้งให้ พระพรหมวรราชสุริยวงศ์ (ทิดพรหม) น้องชายพระประทุม เป็นเจ้าเมืองอุบลราชธานีคนต่อมา[10] รวมมีเจ้าเมืองอุบลราชธานี ที่พระมหากษัตริย์แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ ทรงพระมหากรุณาโปรดเกล้าฯ แต่งตั้งทั้งสิ้น ๔ ท่าน โดยเป็นเชื้อสายของพระวอพระตา ๓ ท่านเเรก เเละเชื้อสายของพระเจ้าอนุวงศ์เเห่งนครเวียงจันทน์ ๑ ท่าน สาเหตุที่ส่วนกลางส่งลูกหลานพระเจ้าสิริบุญสารซึ่งเป็นคู่อริกันมาโดยตลอดให้มาปกครองเมืองอุบลราชธานีเเทนกลุ่มพระวอพระตาซึ่งเป็นสายกรมการเมืองเดิม เพราะว่า ทางเมืองอุบลราชธานีในช่วง สงครามกบฎเจ้าอนุวงศ์ ได้มีการให้ความร่วมมือเเละเข้าร่วมกับฝ่ายกบฎเจ้าอนุวงศ์ ต่อมาจึงส่งผลให้รัชกาล ๔ ทรงไม่ไว้วางใจในกรมการเมืองเก่าของเมืองอุบลที่เคยเข้าร่วมกับฝ่ายกบฎมาก่อน เพื่อเป็นการลดทอนอำนาจกลุ่มเจ้านายสายเดิมหรือสายพระวอพระตา จึงได้ส่งเจ้าหน่อคำ พระโอรสในเจ้าเสือกับเจ้านางท่อนแก้ว เจ้าเสือผู้เป็นพระบิดานั้นเป็นพระราชโอรสในเจ้าอนุวงศ์ พระมหากษัตริย์แห่งนครเวียงจันทน์พระองค์สุดท้าย ทั้งนี้สาเหตุที่ส่งเจ้าหน่อคำมาปกครองเเละให้อำนาจเเก่เจ้าหน่อคำก็เนื่องจากเจ้าหน่อคำได้รับความดีความชอบจากการที่เป็นฝ่ายที่เห็นต่างเเละไม่เข้าร่วมกับกลุ่มกบฎเจ้าอนุวงศ์ เเม้ท่านจะเป็นหลานของเจ้าอนุวงศ์ก็ตาม จึงเป็นที่ไว้วางใจ พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ พระราชทานหิรัญญบัฎ (เเผ่นเงิน) ให้พระนามว่า เจ้าพรหมเทวานุเคราะห์วงษ์ ดำรงรัฐสีมา อุบลราชธานีบาล เป็นเจ้าผู้ครองเมืองอุบลราชธานีศรีวนาไลยประเทศราช เพื่อให้คล้องกันกับพระนามของ เจ้าจันทรเทพสุริยวงศ์ ดำรงรัฐสีมา มุกดาหาราธิบดี หรือเจ้าหนู เจ้าผู้ครองเมืองมุกดาหารบุรี (บังมุก) ผู้เป็นพระญาติใกล้ชิด เจ้าพรหมเทวานุเคราะห์วงษ์จึงปกครองเมืองอุบลราชธานี ในฐานะเจ้าประเทศราช เช่นเดียวกับเจ้าหนู เเทนกลุ่มเจ้านายสายแรก (สายพระวอพระตา) ที่มีพระยศเป็นพระประเทศราช นิยมออกคำนำนามพระยศในจารึกว่า พระ เช่น พระประทุมฯ พระพรหมฯ เป็นต้น ซึ่งมีศักดิ์ที่ต่ำกว่า ต่อมาเจ้าพรหมเทวานุเคราะห์มีปัญหาวิวาทกับกรมการเมืองอุบลมาโดยตลอดในช่วงที่พระองค์ได้ครองเมือง จนถึงขั้นขึ้นโรงขึ้นศาลกลายเป็นคดีความกันอยู่หลายครา จนสูญเสียทรัพย์สินเเทบจะหมดสิ้นเพื่อใช้ในการต่อสู้คดีกันทั้ง 2 ฝ่าย ท้ายที่สุดเจ้าพรหมเทวานุเคราะห์ถูกปลดออกจากตำเเหน่งเจ้าเมือง ในปีพ.ศ. ๒๔๒๕ เมืองอุบลราชธานีในขณะนั้นจึงว่างจากตำเเหน่งเจ้าเมือง เเละ ต่อมาภายหลังเนื่องจากเจ้านายสายเเรก (สายพระวอพระตา) ไม่ค่อยเป็นที่ไว้วางใจเเก่กษัตริย์สยามเท่าใดนัก จนเมื่อสิ้นเจ้าเมืองท่านที่ ๔ หรือเจ้าเมืองท่านสุดท้าย เมื่อเจ้าพรหมเทวานุเคราะห์วงษ์ ถึงเเก่พิราลัย ในพ.ศ. ๒๔๒๙ เป็นต้นมา จึงไม่มีการเเต่งตั้งเจ้าเมืองอุบลราชธานีอีกเลย มีเเต่เพียงผู้รักษาการเมืองเเทนเท่านั้น จนกระทั่งถึงยุคยุบเจ้าเมืองเป็นผู้ว่าราชการเมือง[11]

ภายหลังการก่อตั้งเมืองอุบลราชธานีแล้ว ก็ได้มีการตั้งเมืองสำคัญในเขตปกครองของจังหวัดอุบลราชธานีขึ้นอีกหลายเมือง ดังนี้

พ.ศ. ๒๓๕๗ โปรดเกล้าฯ ตั้งบ้านโคกพเนียง เป็นเมืองเขมราษฎร์ธานี ตั้ง อุปฮาดก่ำ(เมืองอุบล) เป็น พระเทพวงศา เจ้าเมือง และ ตั้ง บ้านสิงห์ท่า เป็นเมืองยโสธร ตั้ง ราชวงศ์สิงห์ (เมืองโขง) เป็น พระสุนทรราชวงศา เจ้าเมือง
พ.ศ. ๒๓๘๘ พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ยกบ้านช่องนางให้เป็นเมืองเสนางคนิคม และต่อมา หลวงธิเบศร์ หลวงมหาดไทย และหลวงอภัย กรมการ เมืองศีร์ษะเกษ เกิดความขัดแย้งกับเจ้าเมืองศีร์ษะเกษ เชื้อสายราชวงศ์เจ้าจารย์เเก้ว[12] ภายหลังได้ขอแยกตัวออกมาจากเมืองศีร์ษะเกษ และอพยพนำไพร่พลออกมาตั้งเป็นเมืองใหม่ ขอพระราชทานยกบ้านน้ำโดมใหญ่ขึ้นเป็นเมืองเดชอุดม ให้หลวงวิเศษ (สาร) เป็นราชบุตร หลวงอภัยเป็นราชวงศ์ หลวงมหาดไทยเป็นอุปฮาด ตั้งหลวงธิเบศร์เป็นพระศรีสุระ เป็นเจ้าเมือง รักษาราชการแขวงเมืองเดชอุดม แรกเริ่มอำเภอเดชอุดมขึ้นตรงต่อ จังหวัดขุขันธ์ ต่อมาภายหลังจึงได้ถูกโอนมาขึ้นกับจังหวัดอุบลราชธานี และ ตั้ง บ้านคำแก้ว เป็น เมืองคำเขื่อนแก้ว (ปัจจุบัน ตำบลคำเขื่อนแก้ว อำเภอชานุมาน จังหวัดอำนาจเจริญ) ขึ้นสังกัด เมืองเขมราษฎร์ธานี
ตั้งบ้านดงกระชุหรือบ้านไร่ ขึ้นเป็นเมืองบัวกัน ต่อมาได้เปลี่ยนมาเป็นเมืองบัวบุณฑริก หรืออำเภอบุณฑริกในปัจจุบัน แรกเริ่มเป็นกิ่งอำเภอขึ้นกับอำเภอเดชอุดม จังหวัดขุขันธ์ ต่อมาถูกโอนย้ายมาขึ้นกับจังหวัดอุบลราชธานีพร้อมกับอำเภอเดชอุดม ภายหลังถูกยกฐานะจากกิ่งอำเภอเป็นอำเภอบุณฑริก
ตั้งบ้านค้อใหญ่ให้เป็นเมือง ขอแต่งตั้งท้าวจันทบรมเป็นพระอมรอำนาจและเป็นเจ้าเมือง ตั้งท้าวบุตตะเป็นอุปฮาด และให้ท้าวสิงหราชเป็นราชวงศ์ นอกจากนี้ยังให้ท้าวสุริโยซึ่งเป็นราชบุตรรักษาราชการเมืองอำนาจเจริญขึ้นกับเมืองเขมราฐ
พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ตั้งบ้านกว้างลำชะโด เป็นเมืองพิบูลมังสาหาร โดยตั้งท้าวธรรมกิติกา (จูมมณี)เป็นพระบำรุงราษฎร์และเป็นเจ้าเมือง และให้ตั้งบ้านสะพือเป็นเมืองตระการพืชผล โดยตั้งท้าวสุริยวงษ์ เป็นพระอมรดลใจและเป็นเจ้าเมือง
พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวโปรดเกล้าฯ ให้ตั้งบ้านท่ายักขุเป็นเมืองชานุมานมณฑล และให้ตั้งบ้านเผลา (บ้านพระเหลา) เป็นเมืองพนานิคม

พ.ศ. ๒๔๒๕ พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวโปรดเกล้าฯ ให้ตั้งบ้านทีเป็นเมืองเกษมสีมา ซึ่งต่อมาเปลี่ยนเป็นอำเภอม่วงสามสิบ
จากเหตุการณ์ก่อตั้งเมืองทั้งหมดนี้ ส่งผลให้อุบลราชธานีเป็นเมืองที่มีเขตการปกครองอย่างกว้างขวางสุดลูกหูลูกตา ครอบคลุมพื้นที่ราบทางด้านตะวันออกของภาคอีสานตอนล่าง อีกทั้งยังมีแม่น้ำสายสำคัญถึง 3 สายด้วยกัน คือ แม่น้ำชี แม่น้ำมูล และแม่น้ำโขง นอกจากนี้ยังมีแม่น้ำสายเล็ก ๆ ที่มีกำเนิดจากเทือกเขาในพื้นที่ เช่น ลำเซบก ลำเซบาย ลำโดมใหญ่ เป็นต้น โดยแม่น้ำทั้งหลายเหล่านี้ไหลผ่านที่ราบทางด้านเหนือและทางด้านใต้เป็นแนวยาวสู่ปากแม่น้ำมูลและแม่น้ำโขง ให้ความอุดมสมบูรณ์ให้แก่พื้นที่ในบริเวณแถบนี้ทั้งหมด ทำให้เกิดสภาวะแวดล้อมที่เหมาะสมแก่การดำรงชีวิตของมนุษย์และสัตว์มาแต่ โบราณกาล[13]

ใน พ.ศ. 2476 ได้มีการยกเลิกมณฑลทั้งประเทศ จังหวัดอุบลราชธานีซึ่งแยกออกมาจากมณฑลนครราชสีมาในขณะนั้น ได้กลายเป็นจังหวัดที่ใหญ่ที่สุดในประเทศไทย หลังจากนั้นจังหวัดอุบลราชธานีก็ได้ถูกแบ่งออก

ใน พ.ศ. 2515 อำเภอยโสธรและอำเภอใกล้เคียงถูกแยกเป็นจังหวัดยโสธร และต่อมาใน พ.ศ. 2536 ได้ถูกแบ่งอีกครั้ง โดยอำเภออำนาจเจริญและอำเภอใกล้เคียงถูกแยกเป็นจังหวัดอำนาจเจริญ

ปัจจุบันจังหวัดอุบลราชธานีมีพื้นที่เป็นอันดับ 5 ของไทย และมีประชากรลำดับที่ 3 ของประเทศ

 

Similar Posts

Leave a Reply

Your email address will not be published. Required fields are marked *