รับซื้อโน๊ตบุ๊ค จังหวัดหนองคาย บริการรับซื้อถึงที่ ให้ราคาสูงที่สุด รับซื้อโน๊ตบุ๊คมือสอง
รับซื้อโน๊ตบุ๊ค จังหวัดหนองคาย บริการรับซื้อถึงที่ ให้ราคาสูงที่สุด รับซื้อโน๊ตบุ๊คมือสอง
สวัสดีครับวันนี้เรามาแนะนำทีมงาน รับซื้อโน๊ตบุ๊ค ในจังหวัดหนองคาย ที่ให้ราคาสูงที่สุดและยังมีบริการไปรับถึงหน้าบ้านของท่าน
เพียงแอดไลน์แอด @webuy มีตัว @ ด้วย ท่านสามารถส่งรูปโน๊ตบุ๊ค ให้ทีมงานตีราคาก่อนได้เลย
หรือโทรด่วน 064-257-9353 คุณโน๊ต
เราพร้อมจะประสานงานทีมงานเพื่อไป รับซื้อโน๊ตบุ๊ค ของท่านถึงที่
**** ที่สำคัญ เราไม่รับของโจร ของผิดกฏหมายทุกกรณี ****
รับซื้อโน๊ตบุ๊ค อำเภอเมืองหนองคาย,รับซื้อโน๊ตบุ๊ค อำเภอท่าบ่อ,รับซื้อโน๊ตบุ๊ค อำเภอศรีเชียงใหม่,รับซื้อโน๊ตบุ๊ค อำเภอสังคม,รับซื้อโน๊ตบุ๊ค อำเภอสระใคร,รับซื้อโน๊ตบุ๊ค อำเภอโพนพิสัย,รับซื้อโน๊ตบุ๊ค อำเภอเฝ้าไร่,รับซื้อโน๊ตบุ๊ค อำเภอรัตนวาปี,รับซื้อโน๊ตบุ๊ค อำเภอโพธิ์ตาก
รับซื้อโน๊ตบุ๊ค,รับซื้อโน๊ตบุ๊คหนองคาย,รับซื้อคอมหนองคาย ,รับซื้อมือถือหนองคาย,รับซื้อไอโฟนหนองคาย,รับซื้อไอแพดหนองคาย,รับซื้อกล้องหนองคาย,รับซื้อลำโพงหนองคาย,รับซื้อทีวีหนองคาย ,รับซื้อ notebook หนองคาย, รับซื้อ macbook หนองคาย,รับซื้อ iphone หนองคาย , รับซื้อ ipad หนองคาย , รับซื้อ computer หนองคาย , รับซื้อ server หนองคาย
ขั้นตอนในการ ขายโน๊ตบุ๊ค ง่ายๆ
1 แอดไลน์ @webuy ส่งรูปให้ทีมงานตีราคา รับซื้อโน๊ตบุ๊ค หนองคาย
2 ตกลงซื้อขายราคากันได้สำเร็จ ทีมงานแจ้งนัดเวลาที่เข้ารับซื้อโน๊ตบุ๊ต
3 ทีมงานเข้าตรวจสอบโน๊ตบุ๊คของท่านว่าเป็นไปตรงตามที่ตกลงกันไว้หรือไม่
4 ตกลงซื้อขายแลกเปลี่ยนกันได้รับเงินสดทันที
ขายโน๊ตบุ๊คกับเราดียังไง ทำไมต้องขายกับเรา รับซื้อโน๊ตบุ๊คหนองคาย
เรามีบริการรับซื้อถึงที่ ให้ราคาสูงที่สุด สามารถประเมินราคาก่อนตกลงซื้อขายกันได้ ถ้าพอใจในราคาจึงตกลงซื้อขายกันครับ
เรารับได้ไม่อั้น มี 1 เครื่องก็รับ มี 100 เครื่องเราก็รับ
ไม่ต้องเทียบราคาที่อื่นยาก เราให้สูงที่สุด พอใจในราคาตกลงกันได้เลย
แอดไลน์ @webuy ( มีตัว @ ด้วย ) หรือโทร 064-2579353 แนะนำให้ติดต่อผ่านไลน์
จังหวัดไหนบ้างที่เรามีบริการ รับซื้อโน๊ตบุ๊ค
เรารับซื้อ.com กำลังขยายเขตการ รับซื้อโน๊ตบุ๊ค มือสองให้ครอบคลุมทั่วภาคอีสาน ในขณะนี้เราสามารถรับซื้อได้ในทุกจังหวัดในภาคอีสาน โดยทีมงานมืออาชีพ
หนองคาย นครพนม สกลนคร อุดรธานี หนองบัวลำภู เลย มุกดาหาร กาฬสินธุ์ ขอนแก่น อำนาจเจริญ ยโสธร ร้อยเอ็ด มหาสารคาม ชัยภูมิ นครราชสีมา บุรีรัมย์ สุรินทร์ ศรีสะเกษ อุบลราชธานี
รับซื้อโน๊ตบุ๊ค ขอนแก่น ต้องการขายโน๊ตบุ๊ค เพียงแอดไลน์ @webuy ส่งรูปโน๊ตบุ๊ค ตีราคา ตกลงขายกันได้ทันที รับซื้อโน๊ตบุ๊คทุกจังหวัด รับซื้อโน๊ตบุ๊ค จังหวัดหนองคาย
รับซื้อโน๊ตบุ๊คหนองคาย,รับซื้อโน๊ตบุ๊คนครพนม, รับซื้อโน๊ตบุ๊คสกลนคร, รับซื้อโน๊ตบุ๊คอุดรธานี ,รับซื้อโน๊ตบุ๊คหนองบัวลำภู ,รับซื้อโน๊ตบุ๊คเลย ,รับซื้อโน๊ตบุ๊คมุกดาหาร ,รับซื้อโน๊ตบุ๊คกาฬสินธุ์, รับซื้อโน๊ตบุ๊คขอนแก่น ,รับซื้อโน๊ตบุ๊คอำนาจเจริญ, รับซื้อโน๊ตบุ๊คยโสธร,รับซื้อโน๊ตบุ๊คร้อยเอ็ด, รับซื้อโน๊ตบุ๊คมหาสารคาม ,รับซื้อโน๊ตบุ๊คชัยภูมิ, รับซื้อโน๊ตบุ๊คนครราชสีมา ,รับซื้อโน๊ตบุ๊คบุรีรัมย์, รับซื้อโน๊ตบุ๊คสุรินทร์,รับซื้อโน๊ตบุ๊คศรีสะเกษ ,รับซื้อโน๊ตบุ๊คอุบลราชธานี
ความแตกต่างในโน๊ตบุ๊ค แต่ละแบบ
โน้ตบุ๊คแต่ละแบบมักจะแตกต่างกันตามลักษณะการใช้งาน สเปคที่มี และการออกแบบ ต่อไปนี้คือบางประเภทที่แตกต่างกันได้:
- ขนาดและน้ำหนัก: โน้ตบุ๊คมีขนาดและน้ำหนักที่แตกต่างกัน เริ่มตั้งแต่โน้ตบุ๊คเล็กที่สุดที่มีขนาดน้อยและน้ำหนักเบาสำหรับความสะดวกในการพกพา ไปจนถึงโน้ตบุ๊คที่มีขนาดใหญ่และน้ำหนักมากสำหรับการใช้งานที่ต้องการประสิทธิภาพสูง ซึ่งมักมีการเพิ่มพลังประมวลผล การ์ดจอ และอุปกรณ์เสริมอื่น ๆ
- สเปคของฮาร์ดแวร์: สเปคฮาร์ดแวร์ของโน้ตบุ๊คอาจแตกต่างกันไปตามการใช้งานที่ต้องการ เช่น โน้ตบุ๊คสำหรับการทำงานทั่วไปอาจมีฮาร์ดแวร์ที่น้อยกว่าโน้ตบุ๊คสำหรับเล่นเกม โดยมีความสำคัญในสเปคเช่น ชิปเซ็ต (CPU), การ์ดจอ (GPU), หน่วยความจำ (RAM), และพื้นที่จัดเก็บข้อมูล (Storage)
- การออกแบบและคุณสมบัติพิเศษ: โน้ตบุ๊คอาจมีคุณสมบัติพิเศษที่แตกต่างกัน เช่น บางโน้ตบุ๊คอาจมีจอที่สามารถหมุนได้ หรือมีการออกแบบที่ทนทานต่อการใช้งานภายนอก
- ระบบปฏิบัติการและซอฟต์แวร์ที่มากับโน้ตบุ๊ค: บางโน้ตบุ๊คอาจมีระบบปฏิบัติการที่แตกต่างกัน เช่น Windows, macOS, หรือ Linux และมีซอฟต์แวร์ต่าง ๆ ที่มากับโน้ตบุ๊คตามความเหมาะสมของผู้ผลิต
- ราคา: ราคาของโน้ตบุ๊คมักจะแตกต่างกันอย่างมากตามสเปคและคุณลักษณะพิเศษที่มี โดยโน้ตบุ๊คที่มีสเปคสูงและคุณลักษณะพิเศษมักจะมีราคาสูงกว่าโน้ตบุ๊คที่มีสเปคต่ำและคุณลักษณะน้อยลง
ประวัติจังหวัด หนองคาย
ที่ตั้งของจังหวัดหนองคาย คือ บริเวณลุ่มแม่น้ำโขงตอนกลางซึ่งเรียกรวมกับที่ตั้งของนครเวียงจันทน์ เลยหนองบัวลำภู อุดรธานี มีความสมบูรณ์ทางทรัพยากรธรรมชาติ ทั้งด้านทรัพยากรทางน้ำและทางบก มีเขตที่ราบกว้างใหญ่สามารถทำการเพาะปลูกได้ดี มีต้นน้ำลำธารหลายสายและไหลลงเป็นส่วนหนึ่งของแม่น้ำโขงเช่น แม่น้ำเหือง น้ำโมง น้ำสวย ห้วยหลวง เป็นต้น
การสำรวจตามโครงการสำรวจแหล่งถลุงแร่ทองแดง ดีบุกสมัยโบราณ บริเวณลุ่มแม่น้ำโขงตอนกลาง (เขตจังหวัดหนองคาย เลย หนองบัวลำภู อุดรธานี) ครั้งล่าสุดพบว่ามีหลักฐานการตั้งถิ่นฐานของมนุษย์มาตั้งแต่สมัยก่อนประวัติ ศาสตร์ โดยเฉพาะพื้นที่แถบหนองคาย รวมทั้ง จังหวัดเลยเป็นพื้นที่ที่อุดมไปด้วยแหล่งทรัพยากรที่สำคัญ และมีเส้นทางคมนาคมอันเป็นเส้นเลือดใหญ่หล่อเลี้ยงชุมชนแห่งนี้ คือ แม่น้ำโขง ซึ่งเป็นแหล่งอารยธรรมสำคัญของโลกแห่งหนึ่ง
รศ.ดร. ศรีศักร วัลลิโภดม อดีตอาจารย์แห่งภาควิชามานุษวิทยา คณะโบราณคดี มหาวิทยาลัยศิลปากร ได้กล่าวไว้ในหนังสือแอ่งอารยธรรมอีสาน ซึ่งเป็นผลงานการสำรวจวิจัยที่ได้รับการยอมรับอย่างกว้างขวางว่าพื้นที่ภาค อีสานนั้นมีแอ่งอารยธรรมสำคัญดึกดำบรรพ์ คือแอ่งโคราชและแอ่งสกลนคร ซึ่งมีหนองหานเป็นศูนย์กลาง พัฒนาขึ้นจากยุคหินใหม่เป็นเขตที่สั่งสมวัฒนธรรมจนเป็นบ้านเมืองเวียง (นคร) จนเป็นอาณาจักรใหญ่โต บ้านเชียงซึ่งมีการขุดค้นโบราณวัตถุอย่างสมบูรณ์ จึงทำให้สรุปว่า หนองคาย-เวียงจันทน์ พัฒนาจากแอ่งสกลนคร แล้วเจริญเติบโตกลืนทั้งสองฝั่งโขง แต่อย่างไรก็ดี สำหรับพื้นที่ราบลุ่มแม่น้ำโขงบริเวณหนองคาย-เวียงจันทน์ นั้น น่าจะสำรวจวิจัยได้อีกต่างหากห่างจากแอ่งสกลนคร และน่าจะเรียกได้ว่าเป็น “แอ่งอารยธรรมที่ 3” โดยมีเหตุผลและหลักฐานที่สนับสนุนกัน ดังต่อไปนี้ คือ
บุ่งทาม ซึ่งมีความหมายว่า “แอ่ง” ในภาคกลาง คล้ายบางมาบที่ทางภาคกลางเรียกเป็นแหล่งที่อุดมสมบูรณ์แก่การเกษตรกรรม ประมง ดำรงชีพ การตั้งถิ่นฐานของมนุษย์หากจะถือแม่น้ำโขงเป็นศูนย์กลาง โดยมีเทือกเขาภูพานและภูพระบาทเป็นขอบแอ่งลาดลงมาถึงที่ราบลุ่มเป็นแม่น้ำโขง และภูเขาควายฝั่งลาวก็เช่นกัน มีห้วยที่มีกำเนิดจากเทือกเขาเหล่านี้แล้วไหลลงแม่น้ำโขงมากหลายสาย เช่น ห้วยโมง ห้วยชม ห้วยสาย (ซวย) ห้วยหลวง หัวยงึม เป็นต้น บริเวณนี้จึงเป็นบุ่งทาม หรือ “แอ่ง” ที่อุดมสมบูรณ์ ซึ่งน่าจะเป็นที่ตั้งถิ่นฐานของมนุษย์ยุคแรก ๆ ของโลก เช่นเดียวกันกับ แอ่งสกลนคร และแอ่งโคราช
มุขปาฐะ ที่เกี่ยวกับบ้านเมืองในบริเวณหนองคาย-เวียงจันทน์ เช่น ตำนานอุรังคธาตุ เรียกดินแดนแถบหนองคาย-เวียงจันทน์ว่า “แคว้นสุวรรณภูมิ” แยกออกมาจากดินแดนในเขตสกลนคร นครพนม และแขวง คำม่วน ซึ่งเรียกว่า “แคว้นศรีโคตรบูรณ์” การวิเคราะห์เรื่องราวและความรู้ที่แทรกอยู่ในมุขปาฐะ น่าจะทำให้สามารถสืบค้นไปได้ถึงความจริงที่ว่า “แคว้นสุวรรณภูมิ” เป็นเขตสะสมที่เหนือกว่าแคว้นศรีโคตรบูรณ์ เพราะมีแร่มากทั้งทองแดง ทองคำ ตามเทือกเขา จนสามารถขุดแร่หลอมถลุงแร่ใช้และกลืนแคว้นศรีโคตรบูรณ์ได้ ตามประวัติศาสตร์ถึงแคว้นทางด้านใต้พยายามจะบุกเข้าชิงอำนาจเหนือแคว้นเหนือ หลายครั้ง แต่ก็ไม่สำเร็จมีแต่แคว้นเหนือพิชิตใต้ได้ตลอด ยกเว้นรัชสมัยพระเจ้าฟ้างุ้มมหาราชที่นำทหารเขมรบุกอ้อมเข้าน้ำซันขึ้นไป เมืองเชียงขวางก่อน แล้วจึงล่องแม่น้ำงึมเข้าเวียงจันทน์ได้สำเร็จ
รับซื้อ Notebook หนองคาย
หนองคาย เป็นจังหวัดในภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนบนของประเทศไทย มีอาณาเขตติดต่อกับจังหวัดบึงกาฬ จังหวัดสกลนคร จังหวัดอุดรธานี และจังหวัดเลย และยังมีชายแดนติดต่อกับแขวงเวียงจันทน์ นครหลวงเวียงจันทน์ และแขวงบอลิคำไซของประเทศลาว จังหวัดหนองคายมีพื้นที่แคบแต่ยาว และมีชื่อเสียงด้านวัฒนธรรมและการท่องเที่ยว โดยเฉพาะการชมบั้งไฟพญานาคในเทศกาลวันออกพรรษา
ประวัติศาสตร์
การแสดง แสง เสียง สงครามปราบฮ่อในงานฉลองอนุสาวรีย์ปราบฮ่อ
กองทัพสยามขณะปราบฮ่อ พ.ศ. 2418
เมืองหนองคายมีชื่อปรากฏอยู่ในพงศาวดารล้านช้างตลอดยุคสมัย ดังเช่นปรากฏเป็นชื่อเมืองเวียงคุก เมืองปะโค เมืองปากห้วยหลวง (อำเภอโพนพิสัยในปัจจุบัน) และนอกจากนี้ยังปรากฏในศิลาจารึกจำนวนมากที่กษัตริย์แห่งเวียงจันทน์ได้สร้างไว้ในบริเวณจังหวัดหนองคาย โดยเฉพาะเมืองปากห้วยหลวงเป็นเมืองลูกหลวง นอกจากนี้ในรัชสมัยพระเจ้าวรรัตนธรรมประโชติฯ พระราชโอรสในพระเจ้าไชยเชษฐาธิราช ได้ตั้งสมเด็จพระสังฆราชวัดมุจลินทรอารามอยู่ที่เมืองห้วยหลวง และยังพบจารึกที่วัดจอมมณี ลงศักราช พ.ศ. 2098 จารึกวัดศรีเมือง พ.ศ. 2109 จารึกวัดศรีบุญเรือง พ.ศ. 2151 เป็นต้น นอกจากนี้ยังพบโบราณสถานอิทธิพลล้านช้างจำนวนมาก เช่น พระธาตุต่าง ๆ โดยเฉพาะพระธาตุบังพวน สร้างก่อน พ.ศ. 2106 จารึกวัดถ้ำสุวรรณคูหา (อำเภอสุวรรณคูหา จังหวัดหนองบัวลำภู) ลงศักราช พ.ศ. 2106 กล่าวถึงพระเจ้าไชยเชษฐาธิราช ได้อุทิศข้าทาสและที่ดินแก่วัดถ้ำสุวรรณคูหา และได้สร้างพระพุทธรูปไว้ที่พระธาตุบังพวนอีกด้วย และบริเวณที่ตั้งเมืองหนองคายหรือจังหวัดหนองคาย ในยุคก่อนจะตั้งเมืองหนองคายขึ้น แต่เดิม บริเวณพื้นที่แห่งนี้เป็นเพียงหมู่บ้านเล็กๆ นามว่า บ้านไผ่หรือบ้านหนองไผ่ ซึ่งไม่ได้มีความสำคัญเท่าไหร่นักและขึ้นตรงกับนครหลวงเวียงจันทน์
ต่อมาจะกล่าวถึงที่มาของดินแดนแถบนี้ที่ถูกขนานนามว่า “เมืองปากห้วยหลวง 3 กษัตริย์” บริเวณที่ตั้งอำเภอโพนพิสัยปัจจุบัน เป็นเมืองเก่าตามพงศาวดารล้านช้างเรียกว่า “เมืองปากห้วยหลวง” พ.ศ. 1901 พระเจ้าฟ้างุ้มมหาราช เริ่มก่อตั้งอาณาจักรล้านช้าง และตีเมืองนี้ได้ และมีฐานะเป็น “เมืองหลวง” ซึ่งส่งเจ้าชายในราชวงศ์ล้านช้างมาครองเป็น “พญาปากห้วยหลวง” บางพระองค์ได้มีโอกาสไปครองราชย์ที่ นครเชียงทอง ถึง 2 พระองค์ด้วยกัน คือ หลังจากพระเจ้าสามแสนไทสวรรคต พ.ศ. 1958 แล้ว พระเจ้าล้านคำแดงโอรสได้ครองราชย์ต่อถึง พ.ศ. 1970 จึงสวรรคตโดยไม่ทราบสาเหตุ แต่โบราณราชประเพณีไทย-ลาว สตรีจะครองราชย์ไม่ได้ เจ้าคำเต็ม พญาปากห้วยหลวง พระสวามีเจ้าหญิงจึงครองแทนพักหนึ่ง แล้วหนีกลับเมืองปากห้วยหลวงดังเดิม นางแก้วพิมพาซึ่งมีอำนาจมากในราชสำนักได้เชิญเจ้านายในราชวงศ์ครองราชย์ต่อหลายพระองค์ ระหว่าง พ.ศ. 1971-1980 ครั้นจุบรรลุพระราชนิติภาวะก็มีเหตุสวรรคตติด ๆ กันถึง 5-6 พระองค์ จนมาเชิญ เจ้าคำเกิด โอรสพญาปากห้วยหลวง (คาดว่าเป็นโอรสพระเจ้าคำเต็มจากชายาอื่น) ไปครองราชย์อีกและสวรรคต พ.ศ. 1983 อีก คราวนี้พระบรมวงศานุวงศ์ เสนาบดีทนไม่ไหว จับพระนางแก้วพิมพาถ่วงแม่น้ำคาน ทางเหนือนครหลวงพระบางเสียและเชิญเจ้าไชยครองราชย์ พระเจ้าไชยจักรพรรดิแผ่นแผ้ว สืบมา
เมืองปากห้วยหลวง เกิดช้างเผือกอีกเชือกหนึ่ง เมื่อหลังสมัยพระเจ้าไชยเชษฐาธิราชที่ 1 มหาราช พ.ศ. 2114 พระเจ้าบุเรงนองผู้ชนะสิบทิศพิชิตเวียงจันทน์ ได้นำพระหน่อแก้วกุมาร ราชโอรสไปเมืองหงสาวดีเป็นตัวประกัน พระชันษาเพียง 5 ปี แล้วให้ตาสำเร็จราชการ”อาณาจักร์ล้านช้าง”แทน จารึกว่าพระยาแสนสุรินทร์ขว้างฟ้าสุมังโดอัยโกโพธิสัตว์ อดีตพระยาปากห้วยหลวง พงศาวดารว่าท่านเป็นบุตรกวานบ้านฝั่งขวา (ผู้ใหญ่บ้าน) รับราชการทหาร รบเก่งและคงถวายบุตรสาวเป็นสนมด้วย ดังนั้นที่ชาวหนองคายเชื่อกันมาจึงมิใช่เรื่องเหลวไหล โดยนางสนม (ไม่ทราบ) อาจมีพระราชธิดาโอรส 4 พระองค์ คือ “พระสุก พระเสริม พระใส” ซึ่งสร้างฉลองพระองค์ ส่วนองค์สุดท้ายคือพระราชโอรสชันษา 5 ปี พระหน่อแก้วกุมาร พม่าจึงต้องให้ตาสำเร็จราชการให้หลานจึงมี “อัยโก” (ตา) ต่อท้าย นับว่าพญาปากห้วยหลวงเป็นกษัตริย์ล้านช้าง (หลวงพระบาง) 2 พระองค์ และผู้สำเร็จราชการ (เวียงจันทน์) อีก 1 ท่าน รวม 3 กษัตริย์
เรารับซื้อ.com
พ.ศ. 2103 เมื่อพระเจ้าไชยเชษฐาธิราชที่ 1 มหาราช ถอยทัพหนีพม่าล่องมาจากเชียงใหม่ และหลวงพระบาง หลังจากนั้นเมืองปากห้วยหลวงก็ค่อย ๆ ลดความสำคัญลง คาดว่าเพราะการวิวาทกันภายในราชวงศ์ล้านช้าง ตั้งแต่พระบรมราชาแห่งนครพนม พระราชโอรส พระเจ้านันทราชกรีพาทัพมาปราบ พระเจ้าไชยเชษฐาธิราชที่ 2 พ.ศ. 2241 ถึงเมืองคุกชายฟอง (เวียงคุก-บ้านทรายฟอง) และกวาดต้อนผู้คนกลับ และต่อมาบริเวณจังหวัดหนองคาย ได้มีกลุ่มผู้คนอพยพมาตั้งชุมชนและเมืองขึ้นเป็นกลุ่มใหญ่ๆและสำคัญอยู่ 2 กลุ่ม กล่าวคือ สืบเนื่องมาจากเหตุการณ์ พ.ศ. 2250 สมเด็จเจ้าราชครูวัดโพนสเม็ก (ญาคูขี้หอม) อพยพคนไปซ่อมพระธาตุพนมครั้งที่ 4 ล่องไปจนตั้งอาณาจักรล้านช้างจำปาศักดิ์ เมื่อญาคูขี้หอมอพยพผู้คนไปภาคใต้นั้น ศิษย์เอกสำคัญท่านหนึ่ง คือ จารย์แก้ว หรือ เจ้าแก้วมงคล(เจ้าแก้วบูลม บูฮม) ได้ตั้ง ‘”เมืองทุ่ง”‘ (ท่ง) หรือ เมืองสุวรรณภูมิ (อำเภอสุวรรณภูมิ จังหวัดร้อยเอ็ด) เป็นเมืองด่านหน้ายันกับเวียงจันทน์ เชื้อสายของท่านได้แยกย้ายสร้างบ้านแปงเมืองหรือปกครองเมืองมากมาย เช่น จังหวัดร้อยเอ็ด มหาสารคาม ขอนแก่น เป็นต้น และภายหลังกลุ่มพระวอ และพระตา ผู้เป็นเสนาบดีผู้ใหญ่ในราชสำนักเวียงจันทน์ มีความขัดแย้งกับพระเจ้าสิริบุญสาร ด้วยสาเหตุไม่แจ้งชัด ได้พาเอาไพร่พลกองครัวญาติพี่น้อง อพยพหนีจากเวียงจันทน์ไปตั้งเมืองอยู่ที่หนองบัวลำภู และถอยร่นลงไปยังดอนมดแดงและตั้งเป็นจังหวัดอุบลราชธานี ยโสธร อำนาจเจริญ เป็นต้น ที่กล่าวถึงกลุ่มเจ้าจารย์แก้วและกลุ่มพระวอพระตา เนื่องจากทั้ง2กลุ่มล้วนมีบทบาทสำคัญในการก่อร่างสร้างเมืองต่างๆภายในจังหวัดหนองคายในปัจจุบัน
เมื่อ พ.ศ. 2322 กองทัพสมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรีได้ชัยชนะกรุงศรีสัตนาคนหุตเวียงจันทน์แล้ว พื้นที่บริเวณเมืองหนองคายยังอยู่ใต้ความควบคุมของนครหลวงเวียงจันทน์เช่นเดิม รวมถึงเมืองปากห้วยหลวงเดิมด้วย
ครั้น พ.ศ. 2369 – 2370 พระเจ้าไชยเชยเชษฐาธิราชที่ 3 (เจ้าอนุวงศ์) แห่งเวียงจันทน์ แข็งเมืองบุกมาถึงนครราชสีมา และถูกยันทัพกลับไปล้นเกล้าฯ รัชกาลที่ 3 โปรดให้สมเด็จพระบวรราชเจ้ามหาศักดิพลเสพ เป็นแม่ทัพหลวง พระยาราชสุภาวดี (สิงห์ สิงหเสนี) ่ต่อมาได้รับการพระราชทานอวยยศเป็น เจ้าพระยาราชสุภาวดี ว่าที่อัครมหาเสนาบดีสมุหนายก เป็นแม่ทัพหน้าปราบเวียงจันทน์ได้ครั้งที่ 1 แต่เจ้าอนุวงศ์หนีไปได้ ต่อมาล้นเกล้ารัชกาลที่ 3 โปรดเกล้าฯ พระราชทานพระแสงดาบอาสิทธิ์ให้ เจ้าพระยาราชสุภาวดี อัครมหาเสนาบดีสมุหนายก ต่อมาได้รับการพระราชทานราชทินนามเป็น เจ้าพระยาบดินทรเดชา เป็นแม่ทัพยกทัพปราบครั้ง 2 ตั้งทัพอยู่ค่ายพานพร้าว (บริเวณ นปข.ปัจจุบัน) และถูกหลอกล่อจนค่ายแตกหนีไปเมืองยโสธร คู่อริต่อเวียงจันทน์ดั้งเดิมจึงตามมาสมทบ เช่น บุตรหลานพระวอ-พระตา แห่งอุบลราชธานี และบุตรหลานจารย์แก้วแห่งสุวรรณภูมิ ช่วยเจ้าคุณสมุหนายกถล่มเวียงจันทน์จน “ฮ้างดังโนนขี้หมาจอก” หน่วยโสถิ่ม (กล้าตาย) นำโดย ท้าวสุวอธรรม (บุญมา) อุปฮาดยโสธร หลังศึกเจ้าอนุวงศ์ ฝ่ายกรุงเทพฯ มีนโยบายอพยพผู้คนมาฝั่งภาคอีสานจึงยุบเมืองเวียงจันทน์ปล่อยให้เป็นเมืองร้าง ชาวเมืองเวียงจันทน์บางส่วนก็อพยพมาภาคกลางและบางส่วนก็อยู่ที่บริเวณเมืองเวียงคุก เมืองปะโค (อำเภอเมืองหนองคายในปัจจุบัน) เมื่อจัดการบ้านเมืองเรียบร้อยแล้ว เจ้าพระยาราชสุภาวดี (สิงห์ สิงหเสนี) จึงกราบบังคมทูลพระกรุณาขอตั้งบ้านไผ่หรือบ้านหนองไผ่ ขึ้นเป็นเมืองหนองค่าย(คำว่า “หนองคาย” ถูกเรียกเพี้ยนมาจากคำว่า “หนองค่าย” ซึ่งมีความหมายโดยตรงว่า “หนองน้ำบริเวณที่ตั้งของค่ายทหาร” ซึ่งคำว่าหนองค่ายถูกเรียกเพี้ยนเป็น”หนองคาย”ใน สมัยรัชกาลที่ 5 ตั้งแต่นั้นมา)[5] ต่อมาโปรดเกล้าให้ ท้าวสุวอธรรม (บุญมา) เป็น พระปทุมเทวาภิบาลที่ 1 แห่งเมืองหนองคาย ต้นตระกูล ณ หนองคาย และ ท้าวตาดี บุตร พระยาขัติยวงษา (สีลัง) แห่งเมืองร้อยเอ็ด เชื้อสายเจ้าจารย์แก้ว ได้เป็นเจ้าเมืองโพนพิสัยคนแรก จากความดีความชอบที่ได้รับบัญชาจากเจ้าคุณแม่ทัพมาสกัดเจ้าอนุวงศ์ เพื่อมิให้หนีไปญวนอีก โดยตั้งทัพอยู่บ้านโพนแพง จึงเรียกกันว่า “เจ้าโพนแพง” ครั้นเสร็จศึกจึงยกเป็น “เมืองโพนแพง” ท้าวตาดีได้เป็น พระยาพิสัยสรเดช เจ้าเมืองคนแรก ต่อมายังรุ่นลูกรุ่นหลาน เมื่อ พ.ศ. 2373 ต้นตระกูล พิสัยพันธ์,สิงคศิริ,สิมะสิงห์,สิริสิงห์ สืบมาจะเป็นด้วยเหตุใดไม่ชัดแจ้ง พระพิสัยสรเดช (ตาดี) ได้ย้ายที่ตั้งเมืองจากโพนแพงมาอยู่ ณ เมืองปากห้วยหลวงเก่า ซึ่งคงจะร้างในสมัยนั้น และเอาชื่อเมืองโพนพิสัยมาตั้งที่นี่ พื้นที่ตำบลโพนแพงก็ห่างไกล จึงขอยก ” บ้านหนองแก้ว” ขึ้นเป็น”เมืองรัตนวาปี” อีกเมืองหนึ่ง หลังจากเสร็จศึกเจ้าอนุวงศ์และก่อตั้งเมืองหนองคายได้ไม่นาน เมืองหนองคายได้รับฐานะเป็นเมืองประเทศราช โดยยุบเมืองเวียงจันทน์(ร้าง)ซึ่งพึ่งถูกทัพสยามทำลายไปให้มาขึ้นกับเมืองหนองคาย และ ณ. ขณะนั้น ทั้งเมืองหนองคาย และ เมืองโพนพิสัย ไม่ได้ขึ้นตรงต่อกัน แต่ล้วนเป็นเมืองเอกขึ้นกับกรุงเทพทั้งคู่ โดยเมืองโพนพิสัยมีอาณาเขตครอบคลุมพื้นที่ อำเภอโพนพิสัย,อำเภอรัตนวาปี,อำเภอเฝ้าไร่ ของจังหวัดหนองคาย อำเภอเพ็ญ,อำเภอสร้างคอม ของจังหวัดอุดรธานี และ อำเภอโซ่พิสัย,อำเภอปากคาด ของจังหวัดบึงกาฬในปัจจุบัน[6][7]
ต่อมาเมืองหนองคาย มีเจ้าเมืองอีก 2 คน คือ พระปทุมเทวาภิบาล (เคน ณ หนองคาย) ผู้เป็นบุตรและพระยาปทุมเทวาภิบาล (เสือ ณ หนองคาย) ผู้เป็นหลาน
พ.ศ. 2380 พระประทุมเทวาภิบาล (ท้าวสุวอ) ผู้เป็นเจ้าเมืองถึงแก่กรรมอุปฮาด (เคน) ได้เป็นเจ้าเมืองหนองคาย ในปี พ.ศ. 2383 และมีบรรดาศักดิ์เป็นพระปทุมเทวาภิบาลเหมือนกัน
รับซื้อ Notebook จังหวัดหนองคาย
ทางฝั่งเมืองโพนพิสัย ในปีพ.ศ. 2389 วันจันทร์ ขึ้น 9 ค่ำ เดือน 3 พระยาขัติยวงษาสีลัง เจ้าเมืองร้อยเอ็ด ป่วยและถึงแก่กรรม อุปฮาดสิงห์ ราชวงศ์อินบุตร จึงพาเจ้าเพี้ยลงมากรุงเทพฯ พบกับพระยาพิสัยสรเดช(ท้าวตาดี)เจ้าเมืองโพนพิสัย ซึ่งเป็นพี่ชายของพระขัติยวงษาอินทร์และอุปฮาดสิงห์ และเป็นบุตรของพระยาขัติยวงษาสีลัง พระยาพิสัยสรเดชจึงพาอุปฮาดราชวงศ์ท้าวเพี้ย กรมการเมืองร้อยเอ็ด ลงมาเฝ้าทูลละอองธุลีพระบาท จึงโปรดเกล้าฯ ให้พระยาพิสัยสรเดชเจ้าเมืองโพนพิสัย กลับไปรักษาราชการเมืองร้อยเอ็ด พระยาพิสัยสรเดชจึงให้บุตรหลานรักษาการเมืองโพนพิสัยแทน ครั้นพระยาพิสัยสรเดชลงไปถึงเมืองร้อยเอ็ด จัดการเผาศพพระยาขัติยวงษาสีลังพระบิดาเสร็จแล้ว คืนวันหนึ่งอุปฮาดสิงห์ผู้เป็นน้องชายได้ตั้งบ่อนโป นัดให้พระยาพิสัยสรเดชกับพวกนักเลงมาเล่นที่หอนั่งบ้านพระยาขัติยวงษา ครั้นเวลาดึกมีคนมาลอบแทงพระยาพิสัยสรเดชถูกที่สีข้างซ้าย ถึงแก่กรรม ได้ความว่าอุปฮาดสิงห์เกี่ยวข้องในคดีนี้ ครั้นความทราบถึงกรุงเทพฯ จึงมีตราโปรดเกล้าฯ ให้เจ้าเมืองสุวรรณภูมิส่งตัวอุปฮาดสิงห์และบรรดาบุตรหลานของพระยาขัติยวงษา ลงมากรุงเทพฯ โปรดเกล้าฯให้ตุลาการชำระคดี อุปฮาดสิงห์ พิจารณาได้ความเป็นสัตย์ว่าอุปฮาดสิงห์เป็นผู้ใช้ให้จีนจั้นมาแทงพระยาพิสัยสรเดช อุปฮาดสิงห์เลยต้องถูกจำคุกตายอยู่ในที่คุมขัง พระยาพิสัยสรเดชซึ่งป็นพี่ชายต่างมารดากับอุปฮาดสิงห์และราชวงศ์อินทร์ ราชวงศอินทร์ภายหลังเป็นพระยาขัติยวงษา(อินทร์ ธนสีลังกูร)เจ้าเมืองร้อยเอ็ดท่านที่ 3 อีกทั้งพระยาพิสัยสรเดช(ท้าวตาดี)ยังเป็นน้องร่วมมารดากับญาแม่ปทุมมา ซึ่งเป็นย่าของพระเจริญราชเดช (ท้าวอุ่น ภวภูตานนท์) เจ้าเมืองมหาสารคามคนที่ 3 ต่อมาได้มีการสืบสวนข้อเท็จจริงจากหลักฐานที่พึงเชื่อถือได้แน่นอน ปรากฏว่าอุปฮาดสิงห์หาได้เป็นผู้วางแผนฆ่าพระยาพิสัยฯ ตามที่เล่ามานั้นไม่ เมื่อพิจารณาจากเหตุผลจากสิ่งแวดล้อมต่างๆแล้ว เห็นว่ามีอยู่หลายกรณีที่อ้างอิงประกอบได้ เช่น คราวที่พระยาพิสัยฯ พร้อมอุปฮาดสิงห์ได้เข้าเฝ้าทูลละอองธุลีพระบาทกราบบังคมทูลข่าวการอสัญกรรมของพระยาขัติยวงษาสีลังผู้บิดานั้น อุปฮาดสิงห์ก็ได้กราบบังคมทูลสนับสนุนพี่ชายเป็นอย่างดี จนได้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้พระยาพิสัยสรเดชกลับมารับราชการเมืองร้อยเอ็ด และโดยปกติสองพี่น้องนี้มีความรักใคร่ปรองดองกันดีมาก นอกจากนี้ยังปรากฏว่าจีนจั้นผู้แทงพระยาพิสัยฯ ก็เคยมีอริวิวาทกันกับพระยาพิสัยฯ มาช้านาน อนึ่งตามเนื้อเรื่องที่ว่า “พิจารณาได้ความเป็นสัตย์ว่าอุปฮาดสิงห์ ได้ให้จีนจั้นแทงพระยาพิสัยฯ และอุปฮาดสิงห์เลยต้องจำตายอยู่ในที่คุมขัง” จากข้อเท็จจริงโดยคำยืนยันของพระเจริญราชเดช (อุ่น) หลานญาแม่ปทุมมาซึ่งเป็นพี่สาวของพระยาพิสัยฯ เอง ได้ความชัดว่าอุปฮาดสิงห์ได้ดื่มยาพิษถึงแก่กรรมในระหว่างทางก่อนจะถึงกรุงเทพฯ ใกล้เมืองนครราชสีมา และญาติได้ค้นพบจดหมายลาตาย ถึงภรรยาว่า “เราไม่เคยคิดขบถต่อเจ้าพี่โพนแพงเลย ตายเองดีกว่าที่จะถูกคนอื่นประหาร เลี้ยงลูกใหดีจนได้ไปตั้งเมืองใหม่ขึ้นอีก” ส่วนจีนจั้นนั้นรับสารภาพและไม่มีการซัดทอดผู้ใดเลย เป็นอันว่าอุปฮาดสิงห์เป็นผู้บริสุทธิ์โดยแท้ ซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงระบบการพิจารณาคดีของสยามหรือไทยในสมัยก่อนที่ยังมีข้อบกพร่องในการหาหลักฐานและความไม่ชัดเจนในการตัดสินคดีอยู่พอสมควร
รับซื้อโน๊ตบุ๊ค
มาทางฝั่งเมืองหนองคาย ในสมัยที่พระปทุมเทวาภิบาล (เคน) เป็นเจ้าเมืองนี้เองก็เกิดศึกสำคัญขึ้นเรียกกันว่าศึกฮ่อ ครั้งแรกเกิดขึ้นใน พ.ศ. 2420 แต่ในระยะนี้พระประทุมเทวาภิบาล (เคน) ไม่ได้อยู่ในหนองคายมีราชการต้องมาต้อนรับพระยามหาอำมาตย์เสียที่เมืองอุบลราชธานีและได้มอบกิจการบ้านเมืองให้ท้าวจันทรศรีสุราช (ชื่น) รักษาราชการแทน พวกฮ่อได้ตีหัวเมืองลายทางเรื่อยมาจนเข้ายึดเอาเวียงจันทร์ไว้ได้ พวกกรมการเมืองหนองคายแทนที่จะหาทางป้องกันข้าศึกกับคิดอพยพหนีพวกฮ่อ โดยท้าวจันทรศรีสุราชกับครอบครัวหนีไปอยู่บ้านพรานพร้าวอุดรธานี เมื่อตัวนายไม่คิดสู้พวกราษฎร์ก็พลอยขวัญเสียอพยพออกจากเมืองบางเหตุการณ์ในตอนนี้ถึงกับทำให้เมืองหนองคายตกอยู่ในสภาพเป็นเมืองร้างนอกนี้เมืองใกล้ ๆ กัน คือเมืองโพนพิสัยก็พลอยไม่คิดสู้ขี้นมาอีก พระพิไสยสรเดช (หนู) เจ้าเมืองอพยพครอบครัวหนีไปอยู่บึงกาฬ ส่วน ราชวงศ์เมืองหนองคาย ซึ่งถูกส่งมารักษาการแทนกับพระพิสัยสรเดช (หนู) ถูกพวกฮ่อฆ่าตาย ทางกรุงเทพจึงได้มีพระบรมราชองค์การให้พระยามหาอำมาตย์ (ชื่น) ซึ่งไปราชการ ณ เมืองอุบลราชธานี นั้น เกณฑ์ทัพเข้าปราบฮ่อกองทัพของพระยามหาอำมาตย์ได้ยกเข้ามาตั้งพักอยู่ที่เมืองหนองคายแล้วก็สั่งให้จับเอาเท้าจันทรศรีสุราชและพระยาพิไสยสรเดช(หนู)ไปประหารชีวิตเสียทั้งคู่เพื่อไม่ให้เป็นเยี่ยงอย่างสืบต่อไปจากนี้ก็เกณฑ์คนในเมืองต่าง ๆ คือ นครพนม มุกดาหาร เขมราฐ อุบลและร้อยเอ็ด เข้าสมทบกับกองทัพเมืองหนองคาย รวมพลได้ทั้งสิ้นประมาณ 20,000 คน แล้วยกออกไปตีเมืองเวียงจันทร์ซึ่งพวกฮ่อสู้ไม่ได้แตกและทิ้งกรุงเวียงจันทร์ไป กองทัพของพระยามหาอำมาตย์ก็กลับมาพักที่หนองคายจัดกิจกรรมบ้านเมืองเป็นที่เรียบร้อยแล้วก็กลับกรุงเทพฯ ครั้งนี้พระประทุมเทวาภิบาล (เคน) เจ้าเมืองหนองคายได้ติดตามลงมากรุงเทพฯ ด้วย
เมื่อ พ.ศ. 2428 เกิดสงครามปราบฮ่อครั้งที่สองในบริเวณทุ่งไหหิน (ทุ่งเชียงคำ) พวกฮ่อกำเริบตีมาจนถึงเวียงจันทน์ เมื่อพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงทราบข่าวศึกฮ่อ จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ พระเจ้าบรมวงศ์เธอ พระองค์เจ้าทองกองก้อนใหญ่ กรมหลวงประจักษ์ศิลปาคมขณะดำรงพระอิสริยศเป็น กรมหมื่นประจักษ์ศิลปาคม เป็นแม่ทัพปราบฮ่อครั้งนั้นจนพวกฮ่อแตกหนี และสร้างอนุสาวรีย์ปราบฮ่อไว้ที่เมืองหนองคาย
ส่วนทางฝั่งเมืองโพนพิสัย หลังเสร็จศึกปราบฮ่อ ท้าวคำสิงห์ ซึ่งขณะนั้นมีราชทินนามเป็น พระศรีสุรศักดิ์สุนทร เจ้าเมืองรัตนวาปี อดีตเจ้าเมืองประชุมพนาลัย (เมืองปากซัน แขวงบอลิคำไซ สปป.ลาว) ขึ้นเเขวงเมืองโพนพิสัย ซึ่งเป็นบุตรหลานของพระพิสัยสรเดชท่านแรก (ท้าวตาดี) ได้รับแต่งตั้งเป็น “พระรัตนเขตรักษา” เจ้าเมืองโพนพิสัยแทนเจ้าเมืองเดิมสืบต่อมา ซึ่งท่านได้แสดงความกล้าหาญรบพุ่งกับฮ่อหลายครั้ง จนได้ราชทินนามเป็น พระยาพิสัยสรเดช (คำสิงห์ สิงหศิริ) เป็นต้นตระกูล สิงหศิริ จึงเห็นได้ว่า ทุกครั้งที่เกิดศึกและเกิดเหตุข้าศึกศัตรูเข้ามารุกราน ทั้งเมืองหนองคายและเมืองโพนพิสัยล้วนเป็นพันธมิตรร่วมกันต่อสู้ เคียงบ่าเคียงไหล่กันมาโดยตลอด
เมื่อ พ.ศ. 2429 ต่อมาใน พ.ศ. 2434 พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้พระเจ้าน้องยาเธอ กรมหมื่นประจักษ์ศิลปาคมดำรงตำแหน่งข้าหลวงมณฑลลาวพวน (ภายหลังเปลี่ยนเป็นมณฑลอุดร) ได้ตั้งที่ทำการที่เมืองหนองคาย โดย ก่อน พ.ศ. 2436 (ร.ศ. 112) เมืองหนองคายเป็นเมืองเอกมี เมืองโท ตรี จัตวา ขึ้นตรง ได้แก่ เมืองเวียงจันทน์(ขณะนั้นร้างและไม่มีสภาพความเป็นเมือง), เชียงคาน, พานพร้าว, ธุรคมสิงห์สถิตย์, กุมภวาปี(ถูกโอนพื้นที่มาจากเมืองหนองหานซึ่งมีฐานะเป็นเมืองเอก), รัตนวาปี ส่วนเมืองโพนพิสัย มีฐานะเป็นเมืองเอก แต่ไม่มีเมืองขึ้น ครั้นเกิดวิกฤตการณ์ ร.ศ. 112 หรือในปี พ.ศ. 2436 ไทยถูกกำหนดเขตปลอดทหารภายในรัศมี 50 กิโลเมตรจากชายแดน จึงย้ายกองบัญชาการมลฑลลาวพวนมาตั้งที่ตำบลหมากแข้ง อำเภอเมือง จังหวัดอุดรธานี[9]
พ.ศ. 2450 พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวได้มีกระแสพระบรมราชโองการให้จัดตั้งเมืองอุดรธานีขึ้นที่บ้านหมากแข้ง เป็นศูนย์กลางของมณฑลอุดร ครอบคลุม จังหวัด อุดรธานี ขอนแก่น หนองคาย เลย หนองบัวลำภู บึงกาฬ สกลนคร นครพนม มุกดาหารในสมัยนั้น ซึ่ง มณฑลอุดร แบ่งการปกครองเป็น 5 บริเวณ คือ บริเวณหมากแข้ง บริเวณธาตุพนม บริเวณสกลนคร บริเวณภาชี และบริเวณน้ำเหือง ในปีเดียวกัน ได้โปรดเกล้าฯ ให้กระทรวงมหาดไทยรวมเมืองต่าง ๆ ในบริเวณบ้านหมากแข้งตั้งเป็นเมืองจัตวา เรียกว่า “เมืองอุดรธานี” ส่วนเมืองในสังกัดบริเวณให้มีฐานะเป็นอำเภอ ได้แก่ เมืองหนองคาย เมืองกมุทธาสัย(หนองบัวลำภู) เมืองกุมภวาปี เมืองหนองหาน เมืองโพนพิสัย เมืองรัตนวาปี เป็น อำเภอหนองคาย อำเภอหนองบัวลำภู อำเภอกุมภวาปี อำเภอหนองหาน อำเภอโพนพิสัย อำเภอรัตนวาปี ขึ้นกับเมืองอุดรธานี สังกัดมณฑลอุดร
พ.ศ. 2457 มีการปรับปรุงเขตอำเภอสำหรับการปกครองในมณฑลอุดรได้กล่าวถึง อำเภอไชยบุรี สังกัดเมืองนครพนม ให้ตัดท้องที่ของอำเภอโพนพิสัยบางส่วน ของเมืองอุดรธานี ไปรวมกับท้องที่อำเภอไชยบุรี และให้ย้ายที่ว่าการอำเภอไชยบุรีมาตั้งที่บ้านบึงกาญจน์จรดริมแม่น้ำของ(โขง)ฝั่งตรงข้ามเมืองบริคันฑ์ แขวงเวียงจันทน์ เพราะเป็นศูนย์กลางเหมาะแก่การปกครองท้องที่อำเภอ และอำเภอไชยบุรีก็ยังคงขึ้นเมืองนครพนมตามเดิม[10]
ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว ได้โปรดเกล้าฯ ให้ตราพระราชบัญญัติปกครองพื้นที่ขึ้นโดยให้ยกเลิกระบอบเจ้าปกครองทั่วประเทศ ในวันที่ 1 เมษายน พ.ศ 2458 กระทรวงมหาดไทยจึงได้มีคำสั่งสถาปนาเมืองข้าหลวงปกครอง ซึ่งต่อมาเรียกว่าผู้ว่าราชการจังหวัด แยกอำเภอหนองคายออกมาจากเมืองอุดรธานี ตั้งเป็นจังหวัดหนองคาย และโอนอำเภอโพนพิสัย ของเมืองอุดรธานี และยุบอำเภอรัตนวาปีเป็นตำบลขึ้นกับอำเภอโพนพิสัย แล้วจึงโอนมาขึ้นกับจังหวัดหนองคาย(ขณะนั้นมีการเปลี่ยนรูปแบบการปกครองเป็นจังหวัดและอำเภอแล้วแต่ยังไม่มีการบังคับใช้และเป็นที่รู้จักกันอย่างแพร่หลาย) แรกเริ่มจังหวัดหนองคายมีอำเภอขึ้นตรง ดังนี้คือ อ.โพนพิสัย อ.สังคม อ.บ้านผือ อ.ท่าบ่อ อ.พานพร้าว และอ.น้ำโมง และมีการปรับยุบเมืองที่เคยเป็นอำเภอลดฐานะลงเป็นตำบลแทน เช่น อำเภอมีชัย เมืองหนองคาย เป็น “ตำบลมีชัย” อำเภอเมือง จังหวัดหนองคาย เป็นต้น
ครั้นในปีต่อมา พ.ศ. 2459 โอนอำเภอไชยบุรีของจังหวัดนครพนม มาขึ้นจังหวัดหนองคาย เนื่องจาก มีท้องที่และระยะทางห่างไกลจากจังหวัดนครพนมมาก ลำบากต่อการเดินทาง และทั้งไม่เหมาะแก่การปกครอง ในปี พ.ศ. 2475 เปลี่ยนชื่ออำเภอไชยบุรีเป็น “อำเภอบึงกาญจน์ [11]
และในปี พ.ศ. 2476 ได้มีการจัดระเบียบบริหารราชการส่วนภูมิภาคเป็นจังหวัดและอำเภออย่างเป็นทางการ หนองคายจึงได้รับการยกฐานะขึ้นเป็นจังหวัดอย่างเป็นทางการ[12]
ในปี พ.ศ. 2554 รัชสมัยพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช ได้มีพระราชบัญญัติตั้งจังหวัดบึงกาฬ พ.ศ. 2554[13] มีผลบังคับตั้งแต่วันที่ 23 มีนาคม 2554 โดยให้แยกอำเภอบึงกาฬ อำเภอปากคาด อำเภอโซ่พิสัย อำเภอพรเจริญ อำเภอเซกา อำเภอบึงโขงหลง อำเภอศรีวิไล และอำเภอบุ่งคล้า ออกจากจังหวัดหนองคาย ไปตั้งเป็นจังหวัดบึงกาฬ