รับซื้อลำโพง สารคาม JBL Marshall ให้ราคาสูง ไปรับได้ถึงที่
รับซื้อลำโพง สารคาม JBL Marshall ให้ราคาสูง ไปรับได้ถึงที่
สวัสดีครับวันนี้เรามาแนะนำทีมงาน รับซื้อลำโพง ในจังหวัดมหาสารคาม ที่ให้ราคาสูงที่สุดและยังมีบริการไปรับถึงหน้าบ้านของท่าน
เพียงแอดไลน์แอด @webuy มีตัว @ ด้วย ท่านสามารถส่งรูปโน๊ตบุ๊ค ให้ทีมงานตีราคาก่อนได้เลย
หรือโทรด่วน 064-257-9353 คุณโน๊ต
เราพร้อมจะประสานงานทีมงานเพื่อไป รับซื้อลำโพง ของท่านถึงที่
รับซื้อลำโพงสารคาม,รับซื้อลำโพง เมืองมหาสารคาม,รับซื้อลำโพง กันทรวิชัย,รับซื้อลำโพง ยางสีสุราช,รับซื้อลำโพง บรบือ,รับซื้อลำโพง โกสุมพิสัย,รับซื้อลำโพง แกดำ,รับซื้อลำโพง วาปีปทุม,รับซื้อลำโพง เชียงยืน,รับซื้อลำโพง นาเชือก,รับซื้อลำโพง นาดูน,รับซื้อลำโพง ชื่นชม,รับซื้อลำโพง กุดรัง,รับซื้อลำโพง พยัคฆภูมิพิสัย
**** ที่สำคัญ เราไม่รับของโจร ของผิดกฏหมายทุกกรณี ****
รับซื้อโน๊ตบุ๊ค,รับซื้อโน๊ตบุ๊คสารคาม,รับซื้อคอมสารคาม ,รับซื้อมือถือสารคาม,รับซื้อไอโฟนสารคาม,รับซื้อไอแพดสารคาม,รับซื้อกล้องสารคาม,รับซื้อลำโพงสารคาม,รับซื้อทีวีสารคาม ,รับซื้อ notebook สารคาม, รับซื้อ macbook สารคาม,รับซื้อ iphone สารคาม , รับซื้อ ipad สารคาม , รับซื้อ computer สารคาม , รับซื้อ server สารคาม
ขายลำโพงกับเราดียังไง ทำไมต้องขายกับเรา รับซื้อลำโพงสารคาม
เรามีบริการรับซื้อถึงที่ ให้ราคาสูงที่สุด สามารถประเมินราคาก่อนตกลงซื้อขายกันได้ ถ้าพอใจในราคาจึงตกลงซื้อขายกันครับ
เรารับได้ไม่อั้น มี 1 เครื่องก็รับ มี 100 เครื่องเราก็รับ
ไม่ต้องเทียบราคาที่อื่นยาก เราให้สูงที่สุด พอใจในราคาตกลงกันได้เลย
แอดไลน์ @webuy ( มีตัว @ ด้วย ) หรือโทร 064-2579353 แนะนำให้ติดต่อผ่านไลน์
ลำโพง Marshall
จุดเด่นแบรนด์ Marshall
Marshall ถือได้ว่าเป็นอีกหนึ่งแบรนด์เครื่องเสียงสุดฮิตที่ใครๆ ต่างก็ตามหาจับเป็นเจ้าของกัน ซึ่งสึ่งที่ถือว่าเป็นจุดเด่นที่หลายคนหลงรัก Marshall อย่างแรกเลยก็คือการดีไซน์ออกแบบที่มีความเรโทร – วินเทจที่แฝงอยู่ในทุกอณูของหูฟังและลำโพง Marshall ที่ตอบโจทย์ทั้งการเป็นเครื่องสำหรับฟังดนตรี และเก็ลไว้เสริมความเท่ให้กับคุณ และสิ่งที่สองก็คือการถ่ายทอดจิตวิญญาณแห่ง Rock & Roll ที่สืบทอดกันมากว่า 50 ปี ด้วยโทนเสียงที่ถูกจูนมาเพื่อเพื่อการขับเสียงกีตาร์อันแสบซ่าน หรือเสียงกู่ร้องที่แผดเผาอยูในหูของคุณ ที่ไม่ว่าคุณจะใช้หูฟัง Marshall หรือลำโพง Marshall คุณก็จะได้รับประสบการณ์ความร็อคที่สืบทอดกันมารุ่นต่อรุ่น
เครื่องเสียงจากแบรนด์ Marshall มีเอกลักษณ์เรื่องอะไรบ้าง
ด้วยความที่จุดเริ่มต้นของ Marshall นั้นเกิดขึ้นมาจากการพัฒนาแอมป์กีตาร์ไฟฟ้า ทำให้เครื่องเสียงแต่ละชิ้นของ Marshall ได้รับการสืบสอบความเป็น Rock & Roll ด้วยโทนเสียงแหลมที่มทีความใส ลงลึก แต่บาดหู เพื่อให้เสียงกีตาร์ถูกขับออกได้อย่างเต็มที่ เสียงร้องมีความไพเราะชัดเจน และเสียงเบสที่สามารถขับเสียงกลอง เสียงกระเดื่องออกมาได้อย่างหนักแน่น ไม่แปลกใจเลยว่า ทำไม่ใครๆ ถึงได้รักแบรนด์ Marshall กันจนถึงปัจจุบัน
สินค้าแบรนด์ Marshall
หลังจากที่ Marshall นั้นได้หันมาลองทำเครื่องเสียงสไตล์ Comsumer อย่างหูฟังและลำโพงก็ได้รับเสียงตอบรับเป็นอย่างดี และมีไลน์อัพสินค้าที่หลากหลาย ทั้งหูฟัง Marshall และลำโพงบลูทูธต่างๆ มากมาย อย่างเช่น
ลำโพง Marshall
ลำโพง Marshall ถือว่าเป็นสินค้าตัวชูโรงที่ใครๆ ต่างก็ตามหากันให้ควั่ก ด้วยดีไซน์ที่ได้รับแรงบันดาลใจมาจากตู้แอมป์กีตาร์ จนออกมาเป็นตะแกรงหน้าดอกลำโพงที่เป็นเอกลักษณ์ของลำโพง Marshall และทุ่มโทนเสียงที่มีความาเฉพาะตัวของ Marshall ทำให้หลายๆ คนต่างหลงรักลำโพง Marshall อย่างหัวปักหัวปำ
ลำโพงบลูทูธ Marshall
ลำโพงบลูทูธ Marshall หรือลำโพงพกพา Marshall ถือว่าเป็นไลน์อัพลำโพงขนาดเล็กของแบรนด์ ที่ยังคง DNA ความร็อคของ Marshall เอาไว้ในลำโพงบลูทูธให้คุณได้พกพาความมันส์ในการฟังเพลงไปได้ทุกที่ พร้อมกับการเชื่อมต่อไร้สายแบบบลูทูธที่มีความเสถียร และคงคุณภาพเสียงได้อย่างยอดเยี่ยม แถมยังมีดูไซนตะแกรงหน้าแบบตู้แอมป์ที่เป็นเอกลักษณ์ ทำให้ลำโพงบลูทูธ Marshall นั้นมีครบทั้งคุณภาพเสียงและความเท่ ในขนาดที่กะทัดรัด พกพาง่าย หยิบไปฟังเพลงที่ไหนก็ได้ทุกเมื่อ
ลำโพงบ้าน Marshall
ลำโพงบ้าน Marshall เองก็เป็นอีกหนึ่งไลน์อัพลำโพง Marshall ที่ได้รับความนิยมไม่แพ้กัน ด้วยขนาดตัวลำโพงที่ใหญ่กว่าลำโพงบลูทูธ และกำลังขับที่มากกว่า ทำให้เสียงที่ีได้นั้นมีความกระหึ่มน่าตื่นเต้นยิ่งกว่าเดิม ตอบโจทย์การใช้งานในบ้านสุดๆ แถมด้วยดีไซน์สุดคลาสสิคที่ทำให้ลำโพงบ้าน Marshall นั้นไม่มีเป็นแค่ลำโพงบ้านสำหรับฟังเพลง แต่ยังเป็นของตกแต่งที่ช่วยทำให้บ้านของคุณมีความหรูหรา น่าอยู่ยิ่งขึ้น โดยเฉพาะใครที่เป็นสายวินเทจ – เรโทร ลำโพงบ้าน Marshall ก็ถือว่าเป็นหนึ่งใน Accessory ที่ควรมีติดบ้านไว้
หูฟัง Marshall
หูฟัง Marshall ก็ถือว่าเป็นอีกหนึ่งไลน์อัพสินค้าที่ได้รับความนิยมไม่แพ้ลำโพง Marshall ทั้งหลาย ด้วยคาแรกเตอร์เสียงของ Marshall ที่ถูกในมาใส่ในหูฟัง Marshall เอาไว้ด้วย และแน่นอนว่าดีไซน์ของหูฟัง Marshall นั้นก็ยังคงความเรโทรสุดคลาสสิคไม่แพ้กัน และสำหรับหูฟังไร้สาย Marshall นั้นก็ถือว่าเป็นไลน์อัพหลักของหูฟัง Marshall เลยก็ว่าได้ โดยที่ตัวหูฟังไร้สาย Marshall นั้นก็จะมีให้เลือกใช้อยู่หลากหลายสุดๆ ไม่ว่าจะเป็นหูฟัง True Wireless, หูฟังแนบหู และหูฟังครอบหูให้ใช้งาน
จังหวัดไหนบ้างที่เรามีบริการ รับซื้อลำโพง
เรารับซื้อ.com กำลังขยายเขตการ รับซื้อลำโพง มือสองให้ครอบคลุมทั่วภาคอีสาน ในขณะนี้เราสามารถรับซื้อได้ในทุกจังหวัดในภาคอีสาน โดยทีมงานมืออาชีพ
หนองคาย นครพนม สกลนคร อุดรธานี หนองบัวลำภู เลย มุกดาหาร กาฬสินธุ์ ขอนแก่น อำนาจเจริญ ยโสธร ร้อยเอ็ด มหาสารคาม ชัยภูมิ นครราชสีมา บุรีรัมย์ สุรินทร์ ศรีสะเกษ อุบลราชธานี
ต้องการขายลำโพง เพียงแอดไลน์ @webuy ส่งรูปลำโพง ตีราคา ตกลงขายกันได้ทันที รับซื้อลำโพงทุกจังหวัด รับซื้อลำโพง มหาสารคาม
รับซื้อลำโพงหนองคาย,รับซื้อลำโพงนครพนม, รับซื้อลำโพงสกลนคร, รับซื้อลำโพงอุดรธานี ,รับซื้อลำโพงหนองบัวลำภู ,รับซื้อลำโพงเลย ,รับซื้อลำโพงมุกดาหาร ,รับซื้อลำโพงกาฬสินธุ์, รับซื้อลำโพงขอนแก่น ,รับซื้อลำโพงอำนาจเจริญ, รับซื้อลำโพงยโสธร,รับซื้อลำโพงร้อยเอ็ด, รับซื้อลำโพงมหาสารคาม ,รับซื้อลำโพงชัยภูมิ, รับซื้อลำโพงนครราชสีมา ,รับซื้อลำโพงบุรีรัมย์, รับซื้อลำโพงสุรินทร์,รับซื้อลำโพงศรีสะเกษ ,รับซื้อลำโพงอุบลราชธานี
ขั้นตอนในการ ขายลำโพง ง่ายๆ
1 แอดไลน์ @webuy ส่งรูปให้ทีมงานตีราคา รับซื้อลำโพง สารคาม
2 ตกลงซื้อขายราคากันได้สำเร็จ ทีมงานแจ้งนัดเวลาที่เข้ารับซื้อมือถือ
3 ทีมงานเข้าตรวจสอบโทรศัพท์มือถือของท่านว่าเป็นไปตรงตามที่ตกลงกันไว้หรือไม่
4 ตกลงซื้อขายแลกเปลี่ยนกันได้รับเงินสดทันที
ประวัติจังหวัด มหาสารคาม ที่เรา รับซื้อลำโพง
จังหวัดมหาสารคามนอกจากจะมีฉายาเป็น “ดินแดนแห่งสะดืออีสาน” หรืออยู่จุดกึ่งกลางของภาคอีสานแล้ว (จุดกึ่งกลางของภาคอีสาน ตั้งอยู่ที่ บึงกุย หมู่ 13 ตำบลหัวขวาง อำเภอโกสุมพิสัย)[5]นอกจากนี้ยังมีฉายาอีกว่า “ตักสิลานคร” หรือแปลตามตัวคือนครแห่งการศึกษา หรือเมืองแห่งการศึกษาของภาคอีสาน มีสถาบันการศึกษาที่มีคุณภาพและระดับสูงสุดอยู่หลายแห่งและมีมากที่สุดแห่งหนึ่งของภาคอีสาน อีกทั้งยังมีมากเป็นอันดับต้นๆของประเทศไทย[6]
กำเนิดชนชาติลาวล้านช้าง ก่อตั้งอาณาจักรและความสัมพันธ์ระหว่างอาณาจักรโบราณ
ขุนบรม ปฐมกษัตริย์ แห่งอาณาจักรแถน หรืออาณาจักรอ้ายลาว(ใหม่) แห่งดินแดนนาน้อยอ้อยหนู (เดียนเบียนฟู ประเทศเวียดนามในปัจจุบัน) ซึ่งเป็นยุคก่อนจะกำเนิดอาณาจักรสุโขทัยของไทย ได้ส่งพระราชโอรสองค์ใหญ่ พระนามว่า “ขุนลอ” มาครองเมือง ”ซวา” หรือ เมือง”เซ่า” ขับไล่ชาวข่า,ลัวะ,ขมุ ที่เคยครอบครองถิ่นและเมืองนี้มาก่อนให้ออกไปจากเมือง และ ให้นามเมืองใหม่ว่า เมือง ”เชียงดงเชียงทอง” (ต่อมา มีการ เปลี่ยนชื่อมาเป็น “หลวงพระบาง” ในภายหลัง) ต่อมามีกษัตริย์ซึ่งสืบมาจากขุนลอ ครองเมืองถึง 22 พระองค์ จนกระทั่งพระเจ้าฟ้างุ้มมหาราชได้ตั้งตัวเป็นมหากษัตริย์(เชื้อสายขุนลอ) แห่งเมืองเชียงทอง ในปี พ.ศ. 1869 ต่อมาพระเจ้าฟ้างุ้ม ทรงพัฒนาเมืองเชียงทอง ให้กลายมาเป็นอาณาจักรล้านช้างที่ยิ่งใหญ่ และเป็นอาณาจักรอิสระมานับแต่บัดนั้น[7][8][9]
แรกเริ่มล้านช้างมีความสัมพันธ์อันดีกับจักรวรรดิขอม โดย พระเจ้าฟ้างุ้มมีพระมเหสีเอกเป็นธิดากษัตริย์ขอม แต่ต่อมาภายหลังอาณาจักรล้านช้างได้เกี่ยวดองกันทางเครือญาติและหันมาเป็นพันธมิตรกับอาณาจักรอยุธยา (แห่งราชวงศ์สุพรรณภูมิ ของขุนหลวงพะงั่ว) เพื่อต่อต้านอำนาจของขอม จนอยุธยาสามารถปราบขอมจนสิ้นซาก ในสมัยเจ้าสามพระยา จักรวรรดิขอมที่ยิ่งใหญ่จึงล่มสลายมาตั้งแต่บัดนั้น โดยอาณาจักรอยุธยาได้ครอบครองศูนย์กลางของขอมอย่างเมืองพระนคร ส่วนอาณาจักรล้านช้างได้ขยายอาณาเขตลงมาครอบครองดินแดนบางส่วนของขอมเดิม ประชิดเขตแดนที่บริเวณเมืองพิมายของอยุธยา (ก่อนหน้านั้น เมืองพิมายขึ้นกับขอม) ความสัมพันธ์ระหว่างล้านช้างและอยุธยาจึงเป็นความสัมพันธ์ที่ดีนับตั้งแต่นั้นมา[10][11][12]
จนกระทั่งสมัยพระเจ้าโพธิสาลราช พระมหากษัตริย์แห่งอาณาจักรล้านช้าง[13] ได้เกี่ยวดองและสร้างความสัมพันธ์อันดีกับอาณาจักรล้านนา แห่งราชวงศ์มังราย โดยการเสกสมรสกับเจ้าหญิงเมืองเชียงใหม่ และได้ส่งกองกำลังทัพล้านช้างเข้าไปช่วยเชียงใหม่รบกับพม่า (ไทใหญ่) และอยุธยาอยู่หลายครั้ง และชนะทุกครั้ง ภายหลังขุนนางเชียงใหม่เสนอให้พระเจ้าโพธิสาลราชไปเป็นกษัตริย์เมืองเชียงใหม่ แต่พระเจ้าโพธิสาลราชทรงปฏิเสธ แต่ทรงเสนอให้พระราชโอรสของท่านซึ่งกำเนิดแต่ธิดากษัตริย์เมืองเชียงใหม่ไปครองเมืองเชียงใหม่แทนนามว่า “พระเจ้าไชยเชษฐาธิราช”[14][15][16][17]
ต่อมาในปีพ.ศ. 2093 พระเจ้าโพธิสารทรงสวรรคต พระราชโอรสองค์รองอันเกิดแต่พระเหสีองค์รองต่างแก่งแย่งกันขึ้นเป็นกษัตริย์ อาณาจักรล้านช้าง ณ.ขนะนั้นจึงเกิดความวุ่นวายแบ่งกันเป็นฝักเป็นฝ่าย เหล่าขุนนางจึงอัญเชิญพระเจ้าไชยเชษฐาธิราชให้กลับไปครองหลวงพระบาง (ล้านช้าง) เพื่อระงับเหตุความวุ่นวายที่เกิดขึ้น พระเจ้าไชยเชษฐาธิราชจึงฝากให้สมเด็จย่า (จิรปภามหาเทวี) รักษาการเมืองเชียงใหม่แทนพระองค์ พร้อมทั้งยังได้อัญเชิญพระแก้วมรกตย้ายไปที่เมืองหลวงพระบางด้วย ต่อมาจึงได้ยกทัพ เข้ายึดอำนาจและบีบพระอนุชาทั้ง 2 ให้ยอมยกราชสมบัติให้แก่ตน จนได้ครองอาณาจักรล้านช้าง[17] ส่วนทางเมืองเชียงใหม่ หลังจากพระเจ้าไชยเชษฐา ไม่ยอมกลับไปครองเมืองเชียงใหม่ต่อซักที ขุนนางจึงอัญเชิญพระเจ้าเมกุติ เจ้าเมืองนาย[18] (เชื้อสายไทยใหญ่ และยังเป็นเชื้อสายราชวงศ์มังราย) ให้ไปเป็นกษัตริย์ครองเมืองเชียงใหม่แทน[19] ต่อมาพระเจ้าบุเรงนองมหาราช พระมหากษัตริย์อาณาจักรพม่า แห่งราชวงศ์ตองอู แผ่อำนาจมายังหัวเมืองไทใหญ่ แล้วจึงผ่านเข้ามาตีเมืองเชียงใหม่ พระเจ้าเมกุติ สู้ไม่ได้ จึงยอมอ่อนน้อมและยอมส่งบรรณาการทุกปีแก่พม่า[14] เมื่อพระเจ้าไชยเชษฐาทรงทราบข่าว จึงนำกองทัพจะเข้าบุกยึดเมืองเชียงใหม่จากพระเมกุติ ซึ่งขณะนั้นบุเรงนองได้ยกทัพออกไปจากเชียงใหม่เรียบร้อยแล้ว พระเมกุติเมื่อทราบว่าทัพล้านช้างพยายามจะบุกจึงส่งพระราชสาส์นไปยังบุเรงนองให้ส่งกองกำลังกลับมาช่วยตนขับไล่ทัพล้านช้าง บุเรงนองจึงยกทัพกลับไปยังเมืองเชียงใหม่ และส่งกองทัพขับไล่ทัพของพระเจ้าไชยเชษฐาให้กลับไปยังเขตล้านช้าง พระเจ้าไชยเชษฐาเมื่อทราบว่าเชียงใหม่ขึ้นกับบุเรงนองเรียบร้อยแล้ว จึงเลิกทัพหนีกลับไปยังเมืองหลวงพระบาง[20] ต่อมา พระไชยเชษฐาธิราชได้เป็นพันธมิตรกับสมเด็จพระมหาจักรพรรดิ แห่งกรุงศรีอยุธยา เพื่อช่วยกันต่อต้านพระเจ้าบุเรงนองซึ่งกำลังขยายอิทธิพลมาทางดินแดนแถบนี้ ในปี พ.ศ. 2103[21]
หลังจากนั้นพระเจ้าไชยเชษฐาทรงย้ายราชธานีจากเมืองหลวงพระบางไปเมืองเวียงจันทน์อย่างเป็นทางการ ในปี 2106 (สมัยพระเจ้าโพธิสาลราชเคยย้ายลงมาชั่วคราว เพื่อทำศึกกับเมืองพวน) นอกจากนี้ท่านยังสร้างวัดพระแก้วและพระธาตุหลวงเวียงจันทน์ขึ้น ต่อมาพระเจ้าไชยเชษฐาธิราชได้ส่งกองทัพไปช่วยอยุธยาอยู่หลายครั้งหลายหน แต่เนื่องจากกองทัพพม่ามีกำลังพลที่มากมหาศาลและแข็งแกร่งเป็นอย่างมาก ส่งผลให้อาณาจักรอยุธยาเสียเอกราชให้แก่พม่า ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2112 ต่อมาบุเรงนองมีความเคียดแค้นต่อพระเจ้าไชยเชษฐาธิราชซึ่งได้ยกทัพลาวเข้าช่วยกองทัพกรุงศรีอยุธยาต่อต้านกองทัพพม่าของตนอยู่หลายครั้ง จึงยกทัพพยายามตีเมืองเวียงจันทน์ ศึกครั้งแรก บุกเข้าเมืองเวียงจันทน์ได้แต่ไม่ได้ตัวของพระเจ้าไชยเชษฐา เนื่องจากท่านไม่ได้อยู่ในเมือง ไปทำธุระทางตอนใต้ของอาณาจักร์ แต่พม่าสามารถจับเชื้อพระวงศ์ได้เป็นจำนวนมาก เช่น เจ้าอุปราชวรวังโส (พระอนุชา) นางคำไบ (พระขนิษฐา) พระหน่อแก้ว (พระราชบุตร) พระราชธิดาทั้ง 3 พระองค์ (สุก เสริม ใส) พระมเหสี เป็นต้น จึงนำตัวส่งลงไปยังกรุงหงสาวดี ศึกครั้งนี้จึงยังไม่อาจพิชิตพระเจ้ากรุงล้านช้างและอาณาจักร์ล้านช้างได้ ต่อมาศึกครั้งที่ 2 บุเรงนองได้นำกองทัพพยายามบุกเวียงจันทน์อีกครั้ง (บุเรงนองบัญชาการนำทัพเอง) แต่ครั้งนี้พระเจ้าไชยเชษฐาทรงพำนักอยู่ที่กรุงเวียงจันทน์เมื่อทรงทราบข่าวว่าทัพพม่ากำลังจะมาบุก พระเจ้าไชยเชษฐาจึงทำการอพยพพลเมืองออกจากเมืองให้หมดและให้ไปหลบซ่อนตัวในสถานที่ที่ปลอดภัย และวางแผนกลยุทธ์แบบกองโจรหรือป่าล้อมเมือง โดยการล่อให้ทัพพม่าเข้าไปในเมือง แล้วจึงให้ทัพลาวเข้าโจมตีแบบกองโจร จนในที่สุดเสบียงอาหารของทางฝั่งพม่าเริ่มร่อยหรอลงอย่างต่อเนื่อง ส่งผลให้ทหารพม่าเริ่มไม่มีแรงและกำลังใจที่จะทำศึกต่อไป ทัพพม่าบุเรงนองจึงทำการถอยทัพออกจากเวียงจันทน์และอาณาเขตล้านช้างในที่สุด ถือว่าครั้งนี้เป็นชัยชนะของทางฝั่งล้านช้างที่นำโดยพระเจ้าไชยเชษฐาธิราชที่เหนือกว่าทางฝั่งทัพพม่าที่นำโดยบุเรงนองอย่างชัดเจน และต่อมาศึกครั้งที่ 3 ทัพพม่ายังไม่ยอมรามือที่จะบุกยึดล้านช้าง จึงส่งกองทัพมาบุกเวียงจันทน์อีกครั้ง แต่ครั้งนี้พระเจ้าไชยเชษฐาได้หายสาบสูญไปที่เมืองโองการ (คาดว่าน่าจะอยู่ใน แขวงอัตปือ สปป.ลาวในปัจจุบัน) พระยาแสนสุรินทร์ลือชัยจึงสำเร็จราชการแทนและแต่งทัพออกสู้กับกองทัพพม่า แต่กองทัพที่ไร้การนำของพระเจ้าไชยเชษฐาก็ถูกทัพพม่าที่มีจำนวนมหาศาลตีจนแตกและสามารถเข้ายึดเมืองเวียงจันทน์ได้อย่างง่ายดาย ล้านช้างจึงตกเป็นเมืองขึ้นของพม่ามาตั้งแต่บัดนั้น ตั้งแต่ ปี พ.ศ. 2118
ต่อมาในระหว่างล้านช้างตกเป็นเมืองประเทศราชของพม่า พม่าก็ได้ส่งเชื้อพระวงศ์ล้านช้างที่ถูกจับตัวไปเป็นองค์ประกันให้กลับไปครองอาณาจักรล้านช้างอยู่เป็นเนืองๆ ต่อมาสิ้นยุคบุเรงนองเข้าสู่ยุคนันทบุเรง อำนาจและอิทธิพลของพม่าก็เสื่อมถอยลง อันเนื่องมาจาก มีการทำสงครามกับสมเด็จพระนเรศวรมหาราชซึ่งพยายามปลดเอกราชออกจากพม่า ประมาณ ปี พ.ศ. 2133 – พ.ศ. 2148 เป็นผลให้ล้านช้างปลอดภัยจากอิทธิพลของพม่าในช่วงเวลาขณะนั้น จนกระทั่งในปี พ.ศ. 2134 นันทบุเรง จึงส่งพระหน่อแก้วกุมาร พระราชโอรสของสมเด็จพระเจ้าไชยเชษฐาธิราชกลับไปเป็นกษัตริย์ล้านช้าง เมื่อกลับล้านช้างได้ไม่นานพระหน่อแก้วกุมารจึงทรงได้ประกาศอิสรภาพออกจากพม่า เป็นเอกราชไม่ขึ้นตรงกับพม่าอีกต่อไป หลังจากนี้อาณาจักรล้านช้างจึงเป็นเอกราชและสงบร่มเย็น ปลอดภัยจากการรุกรานของข้าศึกศัตรูยาวนานมาตลอดกว่าร้อยปี
ที่ตั้งและอาณาเขต
จังหวัดมหาสารคามตั้งอยู่บริเวณตอนกลางของภาคตะวันออกเฉียงเหนือ มีพื้นที่ประมาณ 5,300 ตารางกิโลเมตร (3,307,300 ไร่) ระยะทางห่างจากกรุงเทพมหานคร 475 กิโลเมตร มีอาณาเขตติดต่อกับจังหวัดใกล้เคียง ดังนี้[51]
ทิศเหนือ ติดต่อกับจังหวัดขอนแก่น และจังหวัดกาฬสินธุ์
ทิศใต้ ติดต่อกับจังหวัดสุรินทร์ และจังหวัดบุรีรัมย์
ทิศตะวันออก ติดต่อกับจังหวัดกาฬสินธุ์ และจังหวัดร้อยเอ็ด
ทิศตะวันตก ติดต่อกับจังหวัดขอนแก่น และจังหวัดบุรีรัมย์
จังหวัดมหาสารคามมีฉายาเป็น “ดินแดนแห่งสะดืออีสาน” เนื่องจากตั้งอยู่ที่จุดกึ่งกลางของภาคอีสาน ซึ่งตั้งอยู่ที่บ้านบึงกุย หมู่ 13 ตำบลหัวขวาง อำเภอโกสุมพิสัย)[52]
ภูมิประเทศ
โดยทั่วไป จังหวัดมหาสารคามมีพื้นที่ค่อนข้างราบเรียบถึงลูกคลื่นลอนลาด สูงจากระดับน้ำทะเลประมาณ 130 – 230 เมตร ทิศตะวันตกและทิศเหนือเป็นที่สูงในเขตอำเภอโกสุมพิสัย อำเภอเชียงยืน และอำเภอกันทรวิชัย ครอบคลุมพื้นที่ประมาณครึ่งหนึ่งของจังหวัด และค่อย ๆ เทลาดมาทางทิศตะวันออกและทิศใต้[51]
สภาพพื้นที่แบ่งออกเป็น 3 ลักษณะ คือ [51]
พื้นที่ราบเรียบถึงค่อนข้างราบเรียบ — ส่วนใหญ่เป็นที่ราบลุ่มริมน้ำ เช่น ที่ราบลุ่มริมแม่น้ำชี ในบริเวณอำเภอเมืองมหาสารคาม อำเภอโกสุมพิสัย และทางตอนใต้ของจังหวัดแถบชายทุ่งกุลาร้องไห้
พื้นที่ค่อนข้างราบเรียบสลับกับลูกคลื่นลอนลาด — ตอนเหนือของอำเภอพยัคฆภูมิพิสัย เป็นแนวยาวไปทางตะวันออก ถึงอำเภอเมืองมหาสารคาม]
พื้นที่ลูกคลื่นลอนลาดสลับกับพื้นที่ลูกคลื่นลอนชัน — ตอนเหนือและตะวันตกของจังหวัด บริเวณนี้มีเนื้อที่ประมาณครึ่งหนึ่งของจังหวัด